Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
เปิดแนวคิด 'เมืองสีเขียว' ออกแบบโครงสร้างอย่างไร ให้อยู่สบายอย่างสมดุล
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

เปิดแนวคิด 'เมืองสีเขียว' ออกแบบโครงสร้างอย่างไร ให้อยู่สบายอย่างสมดุล

6 ต.ค. 68
21:37 น.
แชร์

การพัฒนาเมืองจำเป็นต้องมองจากมุมของ “ผู้ใช้ชีวิต” เป็นศูนย์กลาง เพราะคุณภาพชีวิตที่ดีเกิดขึ้นได้เมื่อผู้คนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายและยั่งยืน ดังนั้น แนวคิด “Green City” หรือเมืองสีเขียว จึงต้องเป็นเมืองที่สร้างสมดุลระหว่างความสะดวกสบาย ความเท่าเทียม และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ พลังงาน การขนส่ง และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

ในเวที “A Call for Adaptation: The Sustainability in Trade & Industry” หัวข้อ “Infrastructure for Green City” ซึ่งจัดโดย กรุงเทพธุรกิจ ได้เปิดพื้นที่ให้ผู้นำจากหลายภาคส่วนร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดเพื่อขับเคลื่อนการสร้างเมืองสีเขียวของไทยให้เกิดขึ้นจริง โดยมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ คุณพงศกร ยุทธโกวิท รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค คุณมงคล ตั้งศิริวิช ประธาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กลุ่มคลัสเตอร์ ประเทศไทย ลาว และเมียนมา คุณดาเนียล รอสส์ ผู้อำนวยการใหญ่สายการลงทุน และหัวหน้าฝ่ายพัฒนาเพื่อความยั่งยืน บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และคุณณัฐนี วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายการพัฒนาที่ยั่งยืน โครงการวัน แบงค็อก

เวทีนี้มุ่งหาคำตอบร่วมกันว่า ประเทศไทยจะเดินหน้าสู่ “เมืองสีเขียว” ได้อย่างไร ทั้งในเชิงโครงสร้างพื้นฐาน ระบบพลังงาน และการพัฒนาเมืองที่ยึดคนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง

เมืองสีเขียวต้องขับเคลื่อนด้วยข้อมูล กฟภ.เร่ง Digital Green Grid สู่ Net Zero 2050

คุณพงศกร ยุทธโกวิท รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กล่าวในเวทีเสวนาหัวข้อ “Infrastructure for Green City” ว่า การพัฒนาเมืองสีเขียว (Green City) และเมืองยั่งยืนต้องเริ่มจาก “พลังงาน” และ “ข้อมูล” โดยทั้งสองอย่างเป็นฐานสำคัญของการขับเคลื่อน Green City และ Smart City ให้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย

คุณพงศกรอธิบายว่า กฟภ. ต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐ โดยเฉพาะเป้าหมาย Carbon Neutrality ภายในปี 2593 ซึ่งเร็วกว่าแผนเดิม ทำให้หน่วยงานต้องเร่งปรับยุทธศาสตร์ให้ทันตามกรอบใหม่ ทั้งนี้ กฟภ. แม้จะไม่ใช่หน่วยผลิตไฟฟ้าโดยตรง แต่ก็มีภารกิจสำคัญในฐานะผู้จำหน่ายและดูแลระบบไฟฟ้าในภูมิภาคทั่วประเทศ จึงต้องสร้าง “โครงข่ายอัจฉริยะ” หรือ Digital Green Grid ที่รองรับทั้งพลังงานสะอาดและข้อมูลการใช้ไฟในระดับพื้นที่

เขาอธิบายว่า “Digital Grid” คือหัวใจของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เพราะข้อมูลจะทำให้สามารถวิเคราะห์และบริหารการใช้ไฟได้อย่างแม่นยำ เช่น การระบุจุดที่ใช้พลังงานเกินจำเป็น หรือพื้นที่ที่ยังใช้ไฟไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งในอนาคตจะช่วยให้ทั้งภาครัฐและเอกชนบริหารต้นทุนพลังงานได้ดีขึ้น ตัวอย่างจากต่างประเทศ เช่น อังกฤษ ใช้ข้อมูลการเข้าออกของผู้คนในอาคารเพื่อปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม ช่วยลดพลังงานสูญเปล่าได้อย่างมาก

คุณพงศกรกล่าวเพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดไม่ได้หมายถึงการแทนที่พลังงานแบบเดิมทันที แต่ต้องอาศัย “องค์ประกอบเสริม” เช่น ระบบ แบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน (Energy Storage) เพื่อชดเชยช่วงเวลาที่พลังงานหมุนเวียน เช่น แสงอาทิตย์ หรือพลังลม ผลิตได้น้อย การมีระบบกักเก็บและบริหารพลังงานอย่างชาญฉลาดจะช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับทั้งระบบไฟฟ้า

ในช่วงที่ผ่านมา กฟภ. ได้เดินหน้าโครงการต่างๆ เพื่อรองรับทิศทางนี้ เช่น การส่งเสริมการติดตั้ง โซลาร์รูฟท็อป โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์ให้การเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าทำได้ง่ายขึ้น รวมถึงการเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาลงทุนในสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) ซึ่งจะเป็นอีกฟันเฟืองหนึ่งในการขับเคลื่อนการใช้พลังงานสะอาดทั่วประเทศ

ด้านการพัฒนา Smart Grid คุณพงศกรเปิดเผยว่า ขณะนี้ กฟภ. มีโครงการนำร่อง Smart Meter ในพื้นที่เมืองพัทยา เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการบริหารจัดการการใช้ไฟของผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ โดยข้อมูลจากสมาร์ทมิเตอร์จะถูกนำมาใช้วิเคราะห์การใช้ไฟรายจุด เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีแผนเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบพลังงานหมุนเวียน เช่น โซลาร์รูฟท็อป และสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ระบบสามารถคาดการณ์และกระจายโหลดได้อย่างเหมาะสม

เขายังยกตัวอย่างโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าในพื้นที่ห่างไกล เช่น โครงการ Micro Grid และ Off Grid ที่นำพลังงานทดแทนมาผสมผสานกับแบตเตอรี่กักเก็บไฟฟ้า เพื่อสร้างความมั่นคงในการจ่ายไฟ เช่น ที่อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน และ โครงการพลังงานสะอาดบนเกาะพะลวย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งสามารถจ่ายไฟได้ทั้งเกาะโดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับระบบกริดหลัก

เมื่อถูกถามถึงนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ตั้งเป้าให้มี “พลังงานสะอาดระดับชุมชน 1,500 เมกะวัตต์” คุณพงศกรตอบว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเพื่อประเมินพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุด โดยหลักคิดคือ “ต้องให้แหล่งพลังงานอยู่ใกล้กับแหล่งความต้องการไฟ” เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและลดการสูญเสียระหว่างทาง พร้อมย้ำว่าการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ด้วยข้อมูลดิจิทัลจะช่วยให้ตัดสินใจได้แม่นยำยิ่งขึ้น

ในประเด็นการรับมือภัยพิบัติ คุณพงศกรชี้ว่า “Resilience” หรือความสามารถในการฟื้นฟูระบบอย่างรวดเร็ว เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับระบบพลังงานในอนาคต กฟภ. เตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและทีมปฏิบัติการ เพื่อให้สามารถฟื้นฟูระบบไฟได้เร็วเมื่อเกิดเหตุ เช่น พายุ เสาไฟฟ้าล้ม หรืออุบัติเหตุ พร้อมย้ำว่าระบบไฟฟ้าในอนาคตอาจเปลี่ยนรูปแบบไป ผู้ใช้ไฟจะกลายเป็นผู้ผลิตได้ด้วย ซึ่งแนวทางนี้จะทำให้ระบบโดยรวมมีความยืดหยุ่นและมั่นคงมากขึ้น

คุณพงศกรยังสะท้อนถึง “พฤติกรรมของผู้คน” ว่าเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการสร้างเมืองสีเขียว เพราะแม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าเพียงใด แต่หากพฤติกรรมการใช้พลังงานของคนไม่เปลี่ยน เมืองก็ยากจะยั่งยืนได้ เขายกตัวอย่างว่า หากคนเมืองลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวและหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนอย่าง BTS หรือ MRT จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมีนัยสำคัญ

อีกแนวคิดที่เขาเสนอคือระบบ District Cooling หรือ “ระบบทำความเย็นรวม” ที่สามารถแบ่งปันพลังงานความเย็นระหว่างอาคารและระบบขนส่ง เช่น BTS และ MRT เพื่อลดการใช้พลังงานซ้ำซ้อน “ถ้าเราทำให้ทั้งระบบใช้ความเย็นร่วมกันได้จริง ก็ไม่จำเป็นต้องสำรองพลังงานแยกในแต่ละอาคาร” เขากล่าว พร้อมย้ำว่าการบูรณาการระหว่างรัฐ เอกชน และชุมชนเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้แนวคิดนี้เกิดขึ้นจริง

ท้ายที่สุด คุณพงศกรมองว่า “เมืองสีเขียว” ที่แท้จริงคือเมืองที่ “คนอยู่ได้” ด้วยความสุข เดินได้จริง ใช้พลังงานอย่างมีสติ และมีโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน “เมืองที่ดีคือเมืองที่คนไม่ต้องเร่งรีบ อยู่ในอาคารเย็นตลอดเวลา แต่สามารถออกมาเดิน ปั่นจักรยาน และใช้ชีวิตได้อย่างเป็นธรรมชาติ” เขากล่าว พร้อมย้ำว่า หากกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ของไทยปรับโครงสร้างและพฤติกรรมของคนไปในทิศทางนี้ได้จริง ประเทศไทยก็จะเข้าใกล้เป้าหมาย “เมืองสีเขียว” ได้ในอนาคตอันใกล้

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดันไทยสู่ Green City ปักธง Net Zero 

คุณมงคล ตั้งศิริวิช ประธานชไนเดอร์ อิเล็คทริค กลุ่มคลัสเตอร์ประเทศไทย ลาว และเมียนมา กล่าวในเวทีเสวนาว่าการขับเคลื่อนความยั่งยืนขององค์กรไม่อาจเกิดขึ้นได้จากคำพูดหรือภาพลักษณ์ แต่ต้องเกิดจาก “การปฏิบัติจริง” โดยชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจในกว่า 100 ประเทศ ได้รับการจัดอันดับให้เป็น “องค์กรที่ยั่งยืนที่สุดในโลก” สองปีติดต่อกันจาก Time Magazine และ Corporate Knights ซึ่งสะท้อนความต่อเนื่องของการดำเนินกลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาดอย่างเป็นระบบ

เขากล่าวว่า จุดเริ่มต้นของแนวทางนี้คือการพัฒนาเทคโนโลยีด้านไฟฟ้า ออโตเมชัน และซอฟต์แวร์อุตสาหกรรม ควบคู่กับการสร้างนวัตกรรมในระบบสมาร์ทกริด (Smart Grid) และระบบไฟฟ้าอัจฉริยะมากว่า 10 ปี โดยชไนเดอร์มุ่งเน้น “ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน” ภายใต้แนวคิด Make the Most of your Energy and Resources และมีแผนระยะยาวสู่การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลไทย

“ความยั่งยืนของเรามาจากการลงมือทำ” เขากล่าว พร้อมอธิบายว่า ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนร่วมกับพันธมิตรและลูกค้าทั่วโลก โดยตั้งแต่ปี 2564 สามารถลดหรือหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซได้แล้วกว่า 734 ล้านตัน จากเป้าหมาย 800 ล้านตันภายในสิ้นปี 2568 นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนบรรลุ Carbon Neutral Operation ในสโคป 1 และ 2 ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งขณะนี้ “ทุกอย่างกำลังเป็นไปตามแผน”

คุณมงคลยังเปิดเผยถึงการขับเคลื่อนใน “สโคป 3” ผ่านโครงการ Supplier Decarbonization Program ที่ชไนเดอร์เข้าไปสนับสนุนซัพพลายเออร์รายสำคัญกว่า 1,000 รายทั่วโลก ให้สามารถลดคาร์บอนในกระบวนการผลิตของตนเองได้ถึง 48% จากค่าฐานเดิม ถือเป็นตัวอย่างของการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม

เมื่อพูดถึงเทคโนโลยี คุณมงคลอธิบายว่า หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่เมืองสีเขียวคือ “ข้อมูล” และ “การวิเคราะห์แบบเรียลไทม์” เทคโนโลยีของชไนเดอร์ช่วยให้การจัดการพลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่านระบบวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน (Efficiency) และสร้างสมดุลระหว่างการผลิตและการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์ ขณะเดียวกัน ระบบสมาร์ทกริดจะเข้ามาช่วยบริหารจัดการซัพพลายและดีมานด์ให้ทำงานร่วมกันอย่างสอดคล้องบนแพลตฟอร์มเดียว

สำหรับโครงสร้างพื้นฐานของ “Green City” คุณมงคลแบ่งออกเป็น 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่

  1. สมาร์ทกริด (Smart Grid): เป็นแพลตฟอร์มเชื่อมโยงระหว่างฝั่งซัพพลายกับดีมานด์ เพื่อให้พลังงานสะอาดสามารถส่งต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมตั้งแต่ระบบอาคาร (ฺฺฺฺฺฺBuilding) ไปจนถึงระบบขนส่งมวลชน (Transportation)
  2. ระบบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Infrastructure): เทคโนโลยีของชไนเดอร์รองรับเทรนด์ EV ทั่วโลก ทั้งในระดับเมืองและอุตสาหกรรม โดยเน้นระบบจัดการพลังงานแบบเรียลไทม์ เพื่อให้จุดชาร์จแต่ละแห่งทำงานอย่างมีเสถียรภาพและลดการสูญเสียพลังงาน
  3. อาคารอัจฉริยะ (Smart Building Solution): อาคารในอนาคตจะกลายเป็น “โปรซูมเมอร์” ที่ผลิตและใช้พลังงานสะอาดได้เอง พร้อมเชื่อมต่อกับสมาร์ทกริดเพื่อสร้างระบบพลังงานครบวงจร

“ทุกเทคโนโลยีของเราต้องมีข้อมูล ถ้าไม่มีข้อมูลก็ไม่สามารถบริหารจัดการได้” คุณมงคลกล่าว พร้อมย้ำว่าการใช้ IoT และดิจิทัลแพลตฟอร์มจะช่วยให้ทุกภาคส่วนในเมืองเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ

นอกจากนี้ คุณมงคลยังยกตัวอย่างโครงการที่เป็นความภาคภูมิใจของบริษัท เช่น

  • โครงการเซี่ยงไฮ้ เมโทร (Shanghai Metro): ชไนเดอร์เป็นผู้พัฒนาระบบบริหารพลังงานให้รถไฟฟ้าใต้ดินที่ให้บริการผู้โดยสารกว่า 10 ล้านคนต่อวัน ระบบต้องมีความเสถียรสูง (reliability) และมีประสิทธิภาพด้านพลังงาน (Efficiency) โดยใช้เทคโนโลยีออโตเมชันเข้ามาช่วยลดการใช้พลังงานและรักษาความต่อเนื่องของระบบ ขณะเดียวกัน โครงการนี้ยังสร้าง “Ecosystem” ของพาร์ทเนอร์และทีมงานท้องถิ่นที่ต่อยอดความรู้สู่โครงการอื่นในอนาคต
  • โครงการอาคาร “The Nest Dubai”: สำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคของชไนเดอร์ที่ดูไบ ซึ่งเป็นอาคารต้นแบบด้านพลังงานสะอาด พื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร รองรับพนักงานกว่า 1,000 คน และสามารถลดการใช้พลังงานได้มากถึง 37% เมื่อเทียบกับอาคารเดิม ภายในอาคารยังมี “Innovation Hub” ศูนย์แสดงเทคโนโลยีเพื่อให้พาร์ทเนอร์ได้เรียนรู้และทดสอบนวัตกรรม รวมถึง “Youth Empowerment Zone” สำหรับเยาวชน เพื่อสร้างความเข้าใจและแรงบันดาลใจด้านพลังงานยั่งยืน

สำหรับระดับความพร้อมของไทยเทียบกับต่างประเทศ คุณมงคลมองว่า “ประเทศไทยถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงมาก” ทั้งลูกค้าและพันธมิตรในประเทศต่างให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพพลังงานและความยั่งยืนมากขึ้น เพราะไม่เพียงช่วยลดคาร์บอนเท่านั้น แต่ยังสร้าง “มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ” ให้กับธุรกิจที่สามารถปรับตัวเข้าสู่ระบบพลังงานสะอาดได้เร็วกว่าคู่แข่ง

เขายังกล่าวถึงบทบาทของชไนเดอร์ในการร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ เช่น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยนำเทคโนโลยีของบริษัทเข้าไปสนับสนุนการพัฒนาระบบจัดการพลังงานในระดับโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อยกระดับมาตรฐานความยั่งยืนของประเทศ

ท้ายที่สุด คุณมงคลสรุปว่า “เป้าหมายเดียวกันต้องอาศัยการทำงานร่วมกัน” ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องร่วมวางแผนและใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำและเมืองสีเขียวเกิดขึ้นได้จริงและยั่งยืนในระยะยาว

รถไฟต้องเป็นหัวใจเมืองสีเขียว หนุนไทยสู่ Net Zero 2050

ด้านตัวแทนจากภาคคมนาคมอย่าง คุณแดเนียล รอสส์ ผู้อำนวยการใหญ่สายการลงทุนและหัวหน้าฝ่ายพัฒนาเพื่อความยั่งยืน บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) มองว่า หากไทยจะพัฒนาเมืองให้สอดคล้องกับแนวคิดเมืองสีเขียว (Green City) จำเป็นต้องเริ่มจาก “ทิศทางที่ชัดเจนและสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ” เพราะสามเสาหลักของความยั่งยืนคือ Environmental Responsibility, Social Accessibility และ Economic Viability ทั้งสามอย่างต้องสอดคล้องกัน ไม่ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมใดก็ตาม

ในมิติสิ่งแวดล้อม (Environmental Responsibility) คุณดาเนียลกล่าวว่า ระบบขนส่งต้องมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ใช้วัสดุและพลังงานที่ยั่งยืน เช่น พลังงานหมุนเวียนหรือเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน ขณะที่ด้านสังคม (Social Accessibility) ต้องออกแบบให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงได้ ทั้งในแง่ของความสะดวก ราคา และความปลอดภัย “ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ต้องสามารถใช้ระบบขนส่งได้ง่าย” เขากล่าว ส่วนด้านเศรษฐกิจ (Economic Viability) คือการลงทุนที่คุ้มค่า มีประสิทธิภาพ และช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจโดยรวม

คุณดาเนียลมองว่า “โฉมหน้าของระบบขนส่งไทยในอนาคตต้องเป็น Multi-Modal Transport” หมายถึงการเชื่อมต่อระหว่างระบบถนน ราง อากาศ และทางน้ำ ทั้งสำหรับผู้โดยสารและสินค้า “ไม่ใช่แค่เรื่องของรถไฟอย่างเดียว แต่ต้องเชื่อมโยงกันทั้งหมด” เขาเน้น พร้อมเตือนว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต้อง “ทนต่อสภาพภูมิอากาศ (Climate Resilient)” โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์ถนนทรุดและภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั่วโลก “ประเทศไทยน้ำท่วมบ่อย ร้อนขึ้นทุกปี โครงสร้างพื้นฐานต้องปรับตัวให้ได้ ถ้าอินฟราฯ อยู่รอดได้ ผู้โดยสารก็ต้องอยู่รอดได้เช่นกัน”

เขากล่าวต่อว่า “ถ้าไทยต้องการไปถึง Net Zero 2050 ตามเป้าหมาย NDC ภายใต้ข้อตกลงปารีส ภาคขนส่งต้องเร่งเครื่องไปพร้อมกัน” โดยชี้ว่าภาคขนส่งของไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 30% ของประเทศ สูงกว่าหลายประเทศที่อยู่ราว 20-25% “ทุกวันนี้ 80% ของการเดินทางในไทยอยู่บนถนน มีเพียง 15% ที่ใช้ระบบราง แต่ในทางกลับกัน 95% ของการปล่อยคาร์บอนมาจากถนน ส่วนระบบรางซึ่งมีสัดส่วนการเดินทางเพียง 15% กลับปล่อยแค่ 3%” เขากล่าว “นี่คือเหตุผลว่าทำไมระบบรางถึงสำคัญ ทั้งประหยัด ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด นอกจากการเดินหรือปั่นจักรยาน”

คุณดาเนียลยังเชื่อว่าหากผลักดันระบบรางให้เป็นแกนหลักของโครงสร้างขนส่งประเทศ ภาคขนส่งของไทยจะสามารถบรรลุ Net Zero ได้เร็วกว่าปี 2593 ด้วย โดยมีรถไฟฟ้าเป็น “Backbone” หรือกระดูกสันหลังของระบบขนส่งหลายรูปแบบ

สำหรับการสร้างความตระหนักรู้ด้านความยั่งยืนให้กับผู้โดยสาร คุณดาเนียลมองว่า แม้ภาคเอกชนจะสามารถโปรโมตได้ แต่สุดท้ายรัฐบาลต้องเข้ามาช่วยด้วย เพราะถ้าทำเฉพาะองค์กรเดียว คนอาจมองว่าผู้ประกอบการพูดเข้าข้างตัวเอง พร้อมเสนอให้รัฐบาลบูรณาการระบบรางเข้าในแผน Net Zero อย่างเป็นทางการ เพื่อให้ประชาชนเห็นประโยชน์ชัดเจน “ลองดูญี่ปุ่นสิครับ 60% ของการเดินทางต่อวันใช้ระบบรางไฟฟ้า นี่คือทิศทางที่ไทยควรมุ่งไป”

ในประเด็นเรื่องระบบ “ความเย็นร่วม” ระหว่างขนส่งหลายรูปแบบที่คุณพงศกรนำเสนอไว้ เขากล่าวว่า “ทำได้ครับแต่ยาก ต้องอาศัยความร่วมมือหลายฝ่าย โดยเฉพาะจากกรุงเทพมหานครและรัฐบาลกลาง” พร้อมย้ำว่าการสื่อสารและวางระบบร่วมกันระหว่างหน่วยงาน (Multilateral Communication) เป็นสิ่งจำเป็น

เมื่อพูดถึงบทบาทของ BTS ในด้านความยั่งยืน คุณดาเนียลระบุว่า บริษัทได้ดำเนินธุรกิจขนส่งคาร์บอนต่ำมากว่า 30 ปี ลงทุนไปกว่า 150,000 ล้านบาท สร้างโครงข่ายรถไฟฟ้ารวม 138 กิโลเมตร ครอบคลุมสายสีเขียว สีชมพู และสีเหลือง รองรับผู้โดยสารกว่า 1 ล้านเที่ยวต่อวัน ด้วยรถไฟ 170 ขบวน “ตั้งแต่เริ่มต้น เราให้บริการแล้วกว่า 4.6 พันล้านเที่ยว รวมระยะทางกว่า 3.2 หมื่นล้านกิโลเมตร ซึ่งช่วยหลีกเลี่ยงการปล่อยคาร์บอนได้มหาศาล”

คุณดาเนียลเสริมว่า แม้ระบบจะเริ่มมีอายุ แต่ BTS ยังลงทุนปีละ 400-500 ล้านบาทเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน “ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัด (KPI) ของพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability-Linked Bond)” เขากล่าว โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้ระดมทุนผ่านพันธบัตรประเภทนี้รวมกว่า 63,000 ล้านบาท ช่วยลดต้นทุนทางการเงินและเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าถึงสินทรัพย์สีเขียวได้มากขึ้น

ในด้านพลังงานสะอาด คุณดาเนียลเปิดเผยว่า ปัจจุบันอย่างน้อย 10% ของพลังงานที่ใช้ในระบบสายสีเขียวมาจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC) และในอนาคตมีแผนติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปบนสถานีของสายสีเขียว ชมพู และเหลือง รวมกว่า 45 สถานี และ 4 ศูนย์ซ่อมบำรุง คิดเป็นกำลังผลิต 34 เมกะวัตต์ ซึ่งจะสามารถจ่ายไฟได้ราว 20% ของความต้องการทั้งหมดของระบบ

นอกจากนี้ คุณดาเนียลยังกล่าวถึงนโยบาย “20 บาทตลอดสาย” ว่าเป็นแนวทางที่ BTS สนับสนุนอย่างเต็มที่ เพราะมาตรการดังกล่าวตอบโจทย์ Social Accessibility ที่ทำให้คนเข้าถึงระบบรางได้ในราคาที่เหมาะสม และยังช่วยย้ายผู้โดยสารจากถนนมาสู่ระบบราง ลดปัญหามลพิษและอุบัติเหตุบนถนนได้พร้อมกัน เขาย้ำว่า “ไม่ว่ารัฐบาลไหน นโยบายแบบนี้ควรได้รับการสนับสนุน เพราะเป็นนโยบายที่ดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง”

“One Bangkok” โมเดลเมืองสีเขียวที่คิดจากพลังงาน น้ำ และพื้นที่สีเขียว

ด้านคุณณัฐนี วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายการพัฒนาที่ยั่งยืน โครงการวัน แบงค็อก กล่าวอย่างชัดเจนว่า โครงการวัน แบงค็อกไม่ได้เป็นเพียงแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ แต่คือ “เมืองเล็กในเมืองใหญ่” ที่ถูกออกแบบให้ขับเคลื่อนได้ด้วยระบบโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ ทั้งพลังงาน น้ำ และพื้นที่สีเขียว เพื่อเป็นต้นแบบของ Green City ที่แท้จริง

คุณณัฐนี อธิบายว่า ภายใต้พื้นที่พัฒนาเดียวกัน วัน แบงค็อกมีทั้งอาคารสำนักงาน ที่พักอาศัย โรงแรม ห้างสรรพสินค้า และพื้นที่สาธารณะเชื่อมต่อกันทั้งหมด การวางระบบโครงสร้างพื้นฐานจึงต้องคิดในระดับ “เมืองขนาดย่อม” ไม่ใช่เพียงอาคารแต่ละหลัง “เราใช้แนวคิดรวมศูนย์และแบ่งปันทรัพยากร เช่น ระบบทำความเย็นรวมศูนย์ (District Cooling System) แทนที่แต่ละอาคารจะผลิตน้ำเย็นเอง เพราะในเมืองมีอาคารที่ใช้งานต่างเวลากัน กลางวันบ้าง กลางคืนบ้าง เราจึงใช้ระบบเดียวให้ทุกคนแบ่งกันใช้ได้” เธอกล่าว พร้อมระบุว่านี่คือตัวอย่างการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นแนวทางที่ลดพลังงานสิ้นเปลืองได้จริง

ด้านการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน คุณณัฐนีย้ำว่า “พลังงาน” คือหัวใจของเมืองสีเขียว ระบบสมาร์ทกริด (Smart Grid) ในโครงการจึงถูกออกแบบให้เป็นแกนหลักของโครงสร้างพื้นฐาน โดยช่วยตรวจสอบและบริหารจัดการความต้องการไฟฟ้าในแต่ละช่วงเวลาแบบเรียลไทม์ รวมถึงรองรับการเชื่อมต่อกับพลังงานหมุนเวียนในอนาคต เช่น พลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ เพื่อขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย Net Zero Emission ได้จริง “เราจะรู้ว่าไฟฟ้าส่วนไหนใช้มาก ส่วนไหนใช้ต่ำ เพื่อให้การจ่ายไฟเกิดสมดุล และสามารถจัดการต้นทุนพลังงานได้ยั่งยืนขึ้น” เธอกล่าว

ด้าน “น้ำ” คุณณัฐนีย้ำว่าเป็นทรัพยากรที่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบในยุค Climate Change “เรารู้ว่าอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า น้ำจะไม่เหลือมากเท่าวันนี้ โครงการจึงออกแบบระบบรีไซเคิลน้ำไว้ตั้งแต่ต้น เช่น การนำน้ำจากการใช้งานในอาคารกลับมาบำบัดและนำไปใช้รดต้นไม้หรือทำความเย็นในระบบต่าง ๆ เพื่อลดการพึ่งพาน้ำใหม่ให้มากที่สุด” เธอกล่าว พร้อมชี้ว่าการคิดเช่นนี้ไม่ต่างจากการรีไซเคิลวัสดุ เป็นการหมุนเวียนทรัพยากรในระบบปิดเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

คุณณัฐนียังชี้ว่า “พื้นที่สีเขียว” คือโครงสร้างพื้นฐานของเมืองที่มักถูกมองข้าม ทั้งที่จริงแล้วเป็นสิ่งที่ทำให้เมือง “น่าอยู่” มากกว่าเพียง “อยู่ได้” การมีสวนสาธารณะ พื้นที่เปิดโล่ง และระบบนิเวศเมืองที่สมดุลจะช่วยให้คนมีพื้นที่พักผ่อน ออกกำลังกาย และมีสุขภาพกายใจที่ดี ซึ่งเป็นหัวใจของ Green City อย่างแท้จริง

นอกจากนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าความยั่งยืนเกิดขึ้นในทุกขั้นตอน วัน แบงค็อกยังได้นำมาตรฐานสากล LEED for Neighborhood Development (LEED-ND) มาใช้ในการออกแบบและพัฒนาเมือง “มาตรฐานเหล่านี้เหมือนเป็นกรอบร่วมที่ทำให้ทุกคนในทีมเห็นภาพเดียวกันว่า เมืองยั่งยืนต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง” คุณณัฐนีกล่าว พร้อมเสริมว่า LEED-ND ไม่ใช่แค่ใบรับรอง แต่คือเครื่องมือในการทำให้ทุกฝ่ายในโครงการ ตั้งแต่นักออกแบบ วิศวกร ไปจนถึงผู้บริหาร เข้าใจเป้าหมายร่วมกันและทำงานไปในทิศทางเดียวกัน

คุณณัฐนี อธิบายว่า หนึ่งในหลักสำคัญของ LEED-ND คือการเชื่อมต่อกับเมืองโดยรอบ ไม่แยกตัวเป็นเกาะกลางเมือง โครงการวัน แบงค็อกจึงออกแบบโดย “ไม่ล้อมรั้ว” ทั้งฝั่งถนนวิทยุและพระราม 4 เปิดให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามาใช้พื้นที่ได้ตลอดเวลา พื้นที่เปิดโล่งและสวนสีเขียวในโครงการออกแบบให้เย็นสบาย เหมาะกับสภาพอากาศร้อนของไทย ผ่านการจัดต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาและการใช้สายน้ำหรือละอองน้ำระเหยเพื่อช่วยลดอุณหภูมิของพื้นที่

ในส่วนของอาคาร โครงการยังเลือกใช้วัสดุและเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับภูมิอากาศเขตร้อน เช่น กระจกชนิดพิเศษที่ช่วยกันความร้อนจากภายนอก และการติดตั้งแผงกันแดดเพื่อป้องกันการสะท้อนของแสงอาทิตย์โดยตรง “เราไม่ต้องการให้อาคารในกรุงเทพฯ หน้าตาเหมือนอาคารในยุโรป แต่ต้องเป็นอาคารที่ออกแบบเพื่อเมืองร้อนอย่างเรา” เธอกล่าว

นอกจากการออกแบบสิ่งก่อสร้างและระบบจัดการพลังงาน วัน แบงค็อกยังให้ความสำคัญกับ “ผู้คน” ที่จะเข้ามาใช้พื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นผู้เช่าสำนักงาน นักช้อป หรือผู้มาเยือน ทุกคนควรสัมผัสได้ถึงแนวคิดความยั่งยืนตั้งแต่ก้าวแรก “เราอยากให้คนรู้สึกว่าการเดินในเมืองเป็นเรื่องปกติ” คุณณัฐนีกล่าว โดยโครงการออกแบบทางเดินเท้าที่กว้าง มีร่มเงา และปลอดภัย เพื่อให้เดินได้จริง พร้อมเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะ เช่น MRT และมี Shuttle Bus ถึง BTS นอกจากนี้ยังรองรับคนใช้จักรยานด้วยที่จอดปลอดภัย ห้องอาบน้ำ และล็อกเกอร์

ในยุคดิจิทัล โครงการยังใช้เทคโนโลยีช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น เช่น แอปพลิเคชันที่สามารถตรวจสอบเส้นทาง Shuttle Bus แบบเรียลไทม์ หรือดูค่าคุณภาพอากาศทั้งภายในและภายนอกอาคารผ่านมือถือและจอแสดงผลในพื้นที่ “ข้อมูลเหล่านี้ทำให้คนรู้สึกได้ว่าเมืองนี้ใส่ใจชีวิตเขาจริง ๆ” คุณณัฐนีกล่าว

ในช่วงจบการสัมมนา คุณณัฐนีทิ้งท้ายว่า การสร้าง Green City ไม่ใช่หน้าที่ของภาครัฐหรือเอกชนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่คือ “ความร่วมมือของทุกคน” ภาคประชาชนก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน “ถ้าเราเข้าใจมากขึ้นว่า Green Data หรือข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมคืออะไร เราก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเมืองให้น่าอยู่และยั่งยืนไปด้วยกันได้”


แชร์
เปิดแนวคิด 'เมืองสีเขียว' ออกแบบโครงสร้างอย่างไร ให้อยู่สบายอย่างสมดุล