
‘Longevity’ หรือการมีชีวิตยืนยาวอย่างมีคุณภาพ คือหนึ่งคำที่เป็นเทรนด์ในปี 2025 คู่มากับเทรนด์ ‘Health is the New Wealth’ ที่มีความหมายเหมือนสุภาษิต ‘ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ’ ที่คนไทยคุ้นหูกันมานาน
ถ้าเราอยากมีชีวิตยืนยาว ต้องใช้เงินมากแค่ไหน ต้องดูแลตัวเองอย่างไร ต้องปรับตัวหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง SPOTLIGHT ชวนฟังข้อมูลและคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับด้านนี้ที่มาพูดคุยกันบนเวทีสนทนาหัวข้อ ‘Adaptation for Longevity’ ในมหกรรมความยั่งยืนสุดยิ่งใหญ่ ‘Sustainability Expo 2025’ หรือ SX2025 เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2025 ที่โซน SX Talk Stage
ผู้เข้าร่วมสนทนาเกี่ยวกับการปรับตัว-ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้มีชีวิตที่มีคุณภาพยืนยาวนี้ประกอบด้วย แพทย์หญิงวรรณวิพุธ สรรพสิทธิ์วงศ์ แพทย์ผู้ชำนาญการเวชศาสตร์ป้องกันและเวชศาสตร์วิถีชีวิต ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ VitalLife รพ.บำรุงราษฎร์ อมรเทพ สัจจะมุนีวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) และผู้ก่อตั้ง Sati App และแพทย์หญิงพิศศรี คุ้มอนุวงศ์ แห่งเพจ ‘Dr.Mom - หมอแม่’ ที่มาแชร์ข้อมูลและมุมมองจากความเชี่ยวชาญของตนเองในหลายๆ ประเด็น และดำเนินรายการโดย ได๋-ไดอาน่า จงจินตนาการ
พญ.วรรณวิพุธ สรรพสิทธิ์วงศ์ แพทย์ผู้ชำนาญการเวชศาสตร์ป้องกันและเวชศาสตร์วิถีชีวิต ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ VitalLife รพ.บำรุงราษฎร์ เปิดประเด็นเชื่อมโยงเรื่องสุขภาพของมนุษย์กับความยั่งยืนของโลกว่า หลายคนคิดว่า ‘Longevity’ คือ การทำอย่างไรก็ได้ที่จะอยู่ต่อไปได้ยืนยาวถึงร้อยกว่าปี แต่หัวใจหลักๆ ของศาสตร์ที่เรียกว่า การดูแลให้มีสุขภาพยืนยาวนั้นเป็นการศึกษาว่าจะทำอย่างไรให้มีช่วงชีวิตที่มีสุขภาพดี มีอิสระในการใช้ชีวิต ได้ทำสิ่งที่อยากทำนานที่สุดเท่าที่จะทำได้
หลายคนอาจคิดว่าการที่คนเรามีอายุยืนยาวขึ้นนั้นจะยิ่งเป็นการทำร้ายโลกมากขึ้นหรือไม่ เพราะเมื่อคนเราอยู่นานขึ้นก็จะมีการบริโภคมากขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นที่ยังถกเถียงกันต่อไปได้
ในประเด็นนี้ พญ.วรรณวิพุธ หรือหมอฟ้า ชวนมองในอีกทางหนึ่งว่า มีโอกาสที่การมีชีวิตยืนยาวของมนุษย์จะช่วยโลกได้ เนื่องจากมีข้อมูลที่ว่าธุรกิจโรงพยาบาลปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าธุรกิจสายการบิน ยิ่งคนเราป่วยหนักก็ยิ่งต้องใช้ทรัพยากรมาก ซึ่งการใช้ยาเวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งนั้นปล่อยก๊าซเรือนกระจกเยอะมาก เพราะฉะนั้น การที่คนเราดูแลตัวเองดี ลดการเจ็บป่วย จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้
“ถ้าเราดูแลตัวเอง เราก็จะช่วยดูแลให้โลกเย็นลงและยั่งยืนขึ้นได้” หมอฟ้าชี้ให้เห็นโอกาส
แพทย์หญิงพิศศรี คุ้มอนุวงศ์ แห่งเพจ ‘Dr.Mom - หมอแม่’ บอกว่า ความสัมพันธ์ที่ดีนั้นสัมพันธ์กันกับการมีชีวิตยืนยาว เพราะความสัมพันธ์ที่ดีทำให้เราอยากอายุยืน อยากดูแลตัวเองมากขึ้น เพื่อที่จะอยู่กับคนที่เรารักไปนานๆ โดยไม่ทำให้คนที่เรารักเดือดร้อน และในอีกทางหนึ่ง ความสัมพันธ์ที่ดีก็ทำให้ความเครียดลดน้อยลง เมื่อความเครียดน้อยลงก็จะป่วยน้อยลงตามไปด้วย
“ความสัมพันธ์มีความสำคัญมากๆ สังเกตว่าวันไหนที่เรามีความทุกข์เราจะไม่มีแรงจะออกกำลังกาย ไม่มีแรงจะทานข้าว เพราะฉะนั้น ถ้าตั้งต้นเรามีความสัมพันธ์ดีเราก็อยากจะดูแลสิ่งอื่นๆ ต่อไปได้ แต่ในขณะเดียวกันถึงแม้ว่าร่างกายเราจะดี แต่ความสัมพันธ์เราไม่ดี มันจะทำให้ทุกอย่างแย่ไปด้วย”
ถึงอย่างนั้นก็ตาม หมอแม่ยอมรับว่า การจะมีความสัมพันธ์ที่ดี “ไม่ใช่เรื่องง่าย” เพราะคนเราไม่สามารถสร้างได้ฝ่ายเดียว แต่ต้องเกิดจากทุกฝ่ายร่วมมือกัน จึงนำมาสู่คำแนะนำว่า หากคนในความสัมพันธ์ไม่ได้ร่วมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี เราต้องถามตัวเองว่าเราออกมาจากความสัมพันธ์นั้นได้หรือไม่ สำหรับความสัมพันธ์ที่ออกมาไม่ได้ อย่างความสัมพันธ์แบบครอบครัวนั้น เราต้องหาวิธีการแก้ปัญหาเพื่อที่จะอยู่ร่วมกันได้ดีขึ้น
“เมื่อเจอสภาพแวดล้อมหรือความสัมพันธ์ที่เป็นพิษเราต้องหาวิธีออกหนีจากปัญหาตรงนั้นให้ได้ ถ้าเราออกไม่ได้จริงๆ อาจจะต้องปรับตัวยอมรับมัน หรือแก้ไปเท่าที่แก้ได้”
หมอแม่ยกตัวอย่างการแก้ปัญหาในครอบครัวว่า ลูกๆ หลายคนบอกว่ามีปัญหากับแม่แล้วใช้คลิปของหมอแม่เป็นสื่อให้แม่ดู ซึ่งหมอแม่แสดงความเห็นว่า วิธีการสื่อสารกับแม่โดยให้แม่ดูสื่อนั้นเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นได้ เพราะการพูดเองตรงๆ นั้น ผู้ใหญ่อาจจะยอมรับได้ยาก
อมรเทพ สัจจะมุนีวงศ์ ผู้ก่อตั้ง Sati App กล่าวว่า ความยั่งยืนในทางสุขภาพจิตต้องมองสองมิติ หนึ่งคือ ในแง่ส่วนตัว คนเราต้องมีความสามารถในการดึงอารมณ์ความรู้สึกที่รู้สึกทุกข์หรือสุขเกินไปให้กลับมาอยู่ตรงกลางได้ ซึ่งความยืดหยุ่นทางจิตใจนั้นสามารถทำได้เอง
อย่างไรก็ตาม อมรเทพมองว่า ต้องมีปัจจัยเชิงโครงสร้างสนับสนุนด้วย คนในสังคมจึงจะมีสุขภาพจิตที่ดีและมีชีวิตยืนยาว
“สังคมเรามองเรื่องสุขภาพจิตแคบเกินไปว่าเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล ถ้าต้องการให้เรื่องสุขภาพจิตยั่งยืนจริงๆ ต้องมองในเชิงโครงสร้าง คือ มีระบบนิเวศทางสุขภาพจิตที่โอบรับทุกคน เพราะถ้าคนเราหมดความหวังกับสิ่งรอบข้าง สุขภาพจิตก็จะแย่ไปด้วย และอาจถึงขั้นไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าระบบนิเวศทำให้คนมีความหวังอยู่เรื่อยๆ มันจะเติมเต็มพลังให้คนอยากมีความยั่งยืน อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ต้องมองทั้งเชิงปัจเจกบุคคลและในเชิงโครงสร้างว่าเราจะทำให้เกิดความยั่งยืนทางสุขภาพจิต (metal health sustainability) ได้อย่างไรบ้าง”
หมอฟ้ากล่าวเสริมในประเด็นนี้ด้วยว่า การศึกษาเรื่อง Healthy Longevity ในต่างประเทศที่พยายามศึกษาทำความเข้าใจความชรา-ความเสื่อม เพื่อหาแนวทางว่าจะดูแลร่างกายอย่างไร มีการกล่าวถึงปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ คือ ‘สุขภาพจิต’ เพราะการที่คนเราจะอายุยืนและมีคุณภาพดีจริงๆ ไม่ใช่แค่ ‘กายดี’ แต่ใจต้องดีด้วย
สำหรับการสร้างความยืดหยุ่นทางอารมณ์ อมรเทพแชร์ว่า วิธีหนึ่งที่สามารถฝึกเพื่อสร้างความยืดหยุ่นทางอารมณ์ได้ คือ กระบวนการ Stop ( หยุด) Think (คิด) Reflect (สะท้อน) แล้วค่อย Act (กระทำ)
ถึงอย่างนั้นก็ตาม อมรเทพบอกว่า ไม่ได้หมายความว่าถ้ามีเหตุการณ์เกิดขึ้น 100 เหตุการณ์ จะต้องดับอารมณ์ได้ทุกเหตุการณ์ แต่ควรรู้เท่าทันอารมณ์และร่างกายของตัวเอง
“เราควรรู้เชื่อมอารมณ์กับอาการทางร่างกายของตัวเองได้ ต้องรู้ว่าเมื่อมีอารมณ์นี้ร่างกายจะมีอาการแบบไหน อย่างเช่นบางคนกำมือเวลาโกรธ บางคนขาสั่นเวลาวิตกกังวล บางคนเวลากลัวจะเริ่มเหงื่อออก อย่างน้อยถ้าให้ชื่ออารมณ์ของตัวเองไม่ได้ ให้ลองลิสต์ดูว่ามีอาการแบบไหน นอกจากนั้น การจัดการกับอารมณ์ตัวเอง ไม่ได้หมายความว่าต้องให้ความรู้สึกบวกจนเป็นพิษ แต่ให้อยู่กับความเป็นจริงให้ได้มากที่สุด บางคนพยายามให้จิตใจตัวเองบวกจนลอยอยู่เหนือปัญหาทุกสิ่ง กลายเป็น toxic positivity”
แพทย์หญิงวรรณวิพุธ หรือหมอฟ้า กล่าวถึงประเด็นความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ช่วยประโยชน์ทางการแพทย์ การรักษาโรคในอนาคตจะพัฒนาไปเป็นการรักษาที่ออกแบบมาให้เหมาะกับแต่ละบุคคล เพราะคนเรามีสาเหตุการป่วยและการเสียชีวิตต่างกัน ซึ่งเทคโนโลยีจะช่วยให้เข้าใจว่าในแต่ละคนมีแนวโน้มที่จะป่วยอะไร และในอนาคตปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะมีบทบาทมากในทางการแพทย์
หมอฟ้าชี้ว่าประโยชน์อันดับแรกที่ AI จะช่วยได้มาก คือ ทำให้หมอและบุคลากรทางการแพทย์ทำหน้าที่ได้ดีขึ้น เนื่องจาก ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน กว่าจะสร้างหมอผู้เชี่ยวชาญหนึ่งคนต้องใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์เป็นเวลานาน แต่ในอนาคต AI จะช่วยให้หมอที่มีประสบการณ์น้อยสามารถเข้าถึงถึงฐานข้อมูลหรือประสบการณ์ของหมอที่มีประสบการณ์มากได้ ช่วยลดข้อผิดพลาดทางการแพทย์สำหรับแพทย์ที่มีประสบการณ์น้อย ทำให้สามารถยกระดับคุณภาพการดูแลคนไข้ได้ ซึ่งมีประโยชน์มากในเชิงสาธารณสุข
ประโยชน์ด้านที่สองที่ AI จะช่วยได้มาก คือ การบันทึกข้อมูลคนไข้ โดยใช้ AI ฟังและบันทึกข้อมูลคนไข้ตั้งแต่แรก ช่วยลดเวลาที่หมอจะต้องทำงานบันทึกข้อมูล เป็นการ “คืนเวลาของหมอให้กลับมาดูแลคนไข้”
นอกจากนั้น ประโยชน์ที่สาม คือ การใช้ AI ในการศึกษาว่าอวัยวะใดในร่างกายที่จะเสื่อมสภาพก่อน เนื่องจากร่างกายของแต่ละคนต่างกัน บางคนป่วยจากอวัยวะหนึ่ง ขณะที่อีกคนป่วยจากอวัยวะหนึ่ง หากใช้เทคโนโลยีศึกษาความผิดปกติของร่างกายจนทราบว่าใครมีแนวโน้มที่จะป่วยหรือเสียชีวิตจากอวัยวะใด จะได้หาแนวทางป้องกันและรักษาได้ยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม หมอฟ้าบอกว่า การดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองอย่างเหมาะสมนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่ต้องจ่ายเงินมากเสมอไป แต่มีวิธีการที่ง่ายและประหยัดกว่านั้น เพียงแค่แต่ละคนสังเกตร่างกายตัวเอง และตอบตัวเองให้ได้ว่าเป้าหมายในการอยากมีสุขภาพดีของตนเองคืออะไร แล้วหาวิธีการที่เหมาะสม
นอกจากนั้น สองคุณหมอแนะนำให้ใช้โซเชียลมีเดียอย่างรู้เท่าทัน ไม่ปล่อยให้ตัวเองเชื่อหรือคล้อยตามเนื้อหาในโซเชียลมีเดียมากเกินไป ไม่ว่าจะทางบวกหรือทางลบก็ตาม
แพทย์หญิงพิศศรี คุ้มอนุวงศ์ หรือ ‘หมอแม่’ บอกว่า ในคลิปวิดีโอที่หมอแม่คุยกับลูกชายอย่างเข้าอกเข้าใจนั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของเรื่องราวและบทสนทนาที่เลือกเอาส่วนดีๆ มานำเสนอ แต่ในความเป็นจริง ความสัมพันธ์ของแม่กับลูกก็มีส่วนที่ไม่ได้ดั่งใจและพูดจาไม่ดีเช่นกันกับครอบครัวอื่นๆ ดังนั้น จึงอยากให้ทุกคนเสพสื่ออย่างรู้เท่าทัน
“แม่อยากบอกว่าอย่าเอาตัวเองเข้าไปอินกับสื่อมาก แต่หาเก็บเอาส่วนที่เป็นประโยชน์กับเราแล้วมาปรับใช้ ถ้าเราดูแล้วรู้สึกว่าคนนี้เขาดีจังเลย ให้คิดว่าเขาเอาแต่ส่วนที่ดีมานำเสนอ อย่างแม่เองแม่ก็ไม่เอาสิ่งที่ไม่ดีมานำเสนอ ถ้าทุกคนเห็นเฉพาะตอนแม่อารมณ์ดี ก็อย่าเอาไปเปรียบเทียบแม่ตัวเอง”
เมื่อผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงประเด็นที่ว่า ในปัจจุบัน หลายคนเชื่อข้อมูลความรู้ในโซเชียลมีเดียมากกว่าหมอ หมอฟ้าบอกว่า ประสบการณ์ของตัวเองไม่เคยเจอคนไข้ที่ไม่เชื่อหมอ แต่มีคนไข้ที่นำข้อมูลจากโซเชียลมีเดียมาปรึกษา
อย่างไรก็ตาม หมอฟ้าแสดงความเห็นต่อประเด็นการใช้โซเชียลมีเดียว่า การใช้และเชื่อเนื้อหาในโซเชียลมีเดียมากๆ ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพจิตใจ
“โซเชียลมีเดียเหมือนเพื่อนที่ไม่จริงใจ เขาอยากให้เราใช้เขาบ่อยๆ ดูเขาบ่อยๆ เขาก็เลยเลือกอัลกอริทึมให้เราเห็นสิ่งที่เราอยากเห็น ได้ยินสิ่งที่เราอยากได้ยิน แต่ความจริงที่อยู่ข้างนอกนั้นเขาไม่เอามาให้เราเห็น ตราบใดที่เราไม่เข้าใจและเชื่อเพื่อนคนนี้ไปเรื่อยๆ เราก็จะเหมือนคนที่โลกแคบลงเรื่อยๆ เราจะเชื่อเฉพาะสิ่งที่เราต้องการจะฟัง หรืออยู่ใน echo chamber แล้วมันปิดโอกาสหลายๆ อย่าง มันจึงทำให้ในปัจจุบันมีคนประสบปัญหาแพนิก ซึมเศร้า และวิตกกังวลมากขึ้น ซึ่งโรคเหล่านี้เป็นศัตรูของ Longevity เพราะเมื่อคุณเป็นซึมเศร้า คุณวิตกกังวล คุณเป็นแพนิก สมรรถภาพในการทำงาน-การใช้ชีวิตลดลงหมดเลย คุณจะมีแรงใช้ชีวิตได้อย่างไร ถ้าสุขภาพจิตของคุณไม่ดี”
ผู้เข้าร่วมสนทนาทุกคนเห็นตรงกันว่า ทุกคนต้องเริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อที่จะไม่เป็นภาระของตัวเองและผู้อื่นในอนาคต
แพทย์หญิงวรรณวิพุธกล่าวว่า หลายคนประสบปัญหาว่าพยายามช่วยตัวเองอย่างเต็มที่แล้วเพื่อที่จะมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี แต่กลับไม่มีสิ่งอื่นมามาช่วยสนับสนุนส่งเสริมให้เราไปถึงเป้าหมาย จึงเป็นที่มาของการที่หลายคนพูดว่า การจะมี Longevity เป็นภาระเป็นความฟุ่มเฟือย และต้องลงทุนเวลา
“แต่อยากให้ทุกคนคิดย้อนกลับไปว่า ถ้าไม่ดูแลตัวเองในตอนที่ยังอายุน้อย ปัญหาสุขภาพจะมาเยือนในอีกสิบปีข้างหน้า แล้วจะสร้างปัญหาทางการเงินด้วย แล้วถ้าจะหวังใช้สิทธิ ‘30 บาทรักษาทุกโรค’ ในอนาคตระบบของรัฐอาจจะไม่พร้อมที่จะดูแลเราก็ได้ เพราะฉะนั้น จึงเป็นที่มาที่อยากให้ทุกคนใส่ใจสุขภาพของตัวเอง เพราะถ้าเราไม่ได้ใส่ใจในวันนี้ มันจะส่งผลต่อสุขภาพของเราในอนาคตแน่นอน”
นอกจากนั้น หมอฟ้าฝากข้อคิดการดูแลตัวเองอีกว่า ทุกโรคในปัจจุบันเกิดจากการที่คนเราไม่ใช้ชีวิตในจุดที่พอเพียงหรือพอดี เช่น กินมากเงินไป อยากใช้เวลาทำอย่างอื่นมากเกินไปจนนอนน้อยเกินไป ใช้อารมณ์มากเกินไป ไม่ออกกำลังกายหรือออกกำลังกายมากเกินไป ซึ่งความไม่พอดีเหล่านี้ส่งผลไม่ดีต่อตัวเอง และส่งผลไม่ดีต่อโลกด้วย
“เมื่อไหร่ก็ตามที่เราพอเพียง ไม่เอาเปรียบตัวเอง มันจะส่งผลดีกับตัวเรา และจะส่งผลดีต่อโลกด้วย สุดท้ายอยากฝากทุกคนคิดว่า ถ้าทุกคนรู้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น ลองถามตัวเองว่ามีอะไรที่เราอยากเปลี่ยนไหม ถ้าหาคำตอบได้ อยากให้เริ่มเปลี่ยนตั้งแต่วันนี้เลย”
ด้านอมรเทพแชร์ว่า เพิ่งกลับจากไปประชุมที่ต่างประเทศ ซึ่งในการประชุมมีการพูดประเด็นที่ว่า “แนวทางการแก้ปัญหาของคุณในวันนี้ ไม่ควรจะเป็นปัญหาในอนาคตสำหรับตัวเองหรือคนอื่น” ซึ่งหมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างให้เริ่มที่ตัวเราก่อน ถ้าเราดูแลตัวเองดี เราจะไม่สร้างปัญหาให้คนอื่นหรือตัวเองในอนาคต
“เราเริ่มเท่าที่ทำได้ ไม่จำเป็นที่วันนี้จะต้องวิ่งได้ 40 กิโล แต่วันนี้วิ่งได้ 1 กิโลก่อน แล้วค่อยๆ ไปทีละนิด เพราะชีวิตคือมาราธอน
ขณะที่หมอแม่ก็กล่าวสอดคล้องกันว่า “สุดท้ายแล้วคนเราทุกคนต้องแก่ แม่อยากให้ทุกคนรับผิดชอบชีวิตของตัวเอง ไม่ว่าเราจะอยู่ในฐานะแม่ หรือฐานะลูกก็ตาม ทุกคนต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเอง คนที่จะรับผิดชอบชีวิตเราในอนาคตก็คือเราตอนที่อายุน้อย ไม่มีใครสามารถมารับผิดชอบชีวิตเราได้ เราอยากให้เราในตอนแก่เป็นแบบไหน เราต้องทำวันนี้ของเราเพื่อคนคนนั้นในอนาคต เราต้องดูแลทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพใจของเราให้ดี เพื่อคนคนนั้นในอนาคต”