positioning

“บีโอไอ”แนะ5เรื่องด่วนสร้างจุดแข็งใหม่ดึงลงทุนเพิ่มมั่นใจปี’67มีลุ้นยอดส่งเสริมฯสูงกว่าปี’66

16 ก.พ. 67
“บีโอไอ”แนะ5เรื่องด่วนสร้างจุดแข็งใหม่ดึงลงทุนเพิ่มมั่นใจปี’67มีลุ้นยอดส่งเสริมฯสูงกว่าปี’66
“บีโอไอ” เผยแม้ไทยจะมีจุดแข็งหลายด้านในการดึงการลงทุนแต่อนาคตยังไม่ยั่งยืนพอแนะรัฐและทุกส่วนต้องร่วมขับเคลื่อน 5 จุดแข็งใหม่ได้แก่ 1. พลังงานสะอาดที่เพียงพอ ราคาเหมาะสม 2. ทำFTA เพิ่ม 3. พัฒนาคนรับฐานอุตสาหกรรมใหม่ 4.อำนวยความสะดวกต่อการลงทุนและ 5. หาพื้นที่รองรับการลงทุนใหม่ๆ มั่นใจปี 2567 ปีทองแห่งการลงทุนมีเผยมีอุตฯต่อย้ายฐานอีกเพียบ หวังยื่นขอรับส่งเสริมฯจะมากกว่าปี 2566 ที่อยู่กว่า 8.48 แสนล้านบาทสูงสุดในรอบ 5 ปี

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า ปัจจุบันไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศเป้าหมายที่นักลงทุนให้ความสนใจในการย้ายฐานเข้ามาลงทุนเนื่องจากความพร้อมทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพ และมีความเข้มแข็งของห่วงโซ่การผลิต(ซัพพลายเชน) โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอิเล็กทอรนิกส์และยานยนต์ เหล่านี้เป็นจุดแข็งแต่มองยังไม่เพียงพอที่จะทำให้อนาคตข้างหน้ายั่งยืนได้คือ 5 เรื่องที่รัฐบาลและทุกภาคส่วนต้องเร่งขับเคลื่อนได้แก่ 1. พลังงานสะอาดที่เพียงพอและมีราคาที่เหมาะสมเนื่องจากนักลงทุนทั่วโลกกำลังมู่งไปสู่เทรนด์ดังกล่าวเพื่อดำเนินธุรกิจตอบโจทย์ Net Zero 2. ข้อตกลงเขตการค้าเสรีหรือ FTA ที่คู่แข่งทางการค้ามีข้อตกลงจำนวนมากทำให้เกิดความได้เปรียบ 3. การขาดแคลนบุคคลากรที่จะรองรับการสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่จำเป็นจะต้องยกระดับทักษะเพิ่มขึขึ้นเช่น เซมิคอนดักเตอร์ต้องมีควารุ้ดิจิทัล ฯลฯ 4. การอำนาวยความสะอวดต่อการลงทุน และ 5. การจัดหาพื้นที่รองรับอุตสาหกรรมที่เพียงพอ ที่ขณะนี้พื้นที่เรากำลังมีจำกัดมาก มีผังเมืองสิ่งแวดล้อมไทยจึงต้องเตรียมรองรับให้มากขึ้น

ทั้งนี้ปี 2566 มียอดขอรับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอเติบโตดยปี 2566 มีโครงการขอรับการส่งเสริม 2,307 โครงการ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 16 มูลค่าเงินลงทุน 848,318 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดในรอบ 5 ปี และปี 2567 ถือเป็นโอกาสทองของการลงทุนที่มีโอกาสจะเห็นตัวเลขการขอรับส่งเสริมการลงทุนฯที่มากขึ้นกว่าปี 2566 อย่างแน่นอนจากกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี)ที่ขณะนี้กำลังคุยกับบริษัทรายใหม่ๆ และอุตสาหกรรมต้นน้ำอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงจะดึงพวกแบตเตอร์รี่ อีวี ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับบอร์ดอีวีเรื่องสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนแบตเตอรี่อีวี เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มเนื่องจากนโยบาย EV3.5 ยังไม่ได้กำหนดเรื่องนี้ รวมถึงคาดหวังว่าดิจิทัลเทค คอมปานี เช่น กูเกิล ไมโครซอฟท์ จะมาลงทุนในไทยหลังจากที่นายกฯไปโรดโชว์มาซึ่งจะถือเป็นกลุ่มลงทุนใหม่

“ตามแผน 5 ปี(ปี 2567-70) เราน่าจะเห็นการลงทุนทะลุเป็น 3 ล้านล้านบาทหรือเฉลี่ยปีละ 6 แสนล้านบาท และปีนี้ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สำคัญคือ 1. การสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นทั้งยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี) สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ รวมไปถึงไบโอเทคโนโลยี 2.ปรับตัวครั้งใหญ่ธุรกิจไปสู่กรีนอินเวสเมนท์ 3. นำเทคโนโลยี ออโต้ปรับธุรกิจไปสู่สมาร์ท มากขึ้น อีก 3 ปีข้างหน้าธุรกิจจะไปทางนี้”นายนฤตม์กล่าว
นายนฤตม์กล่าวว่า การลงทุนทั่วโลกที่เกิดการย้ายฐานเนื่องจากปัญหาทั้งเรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้ไทยได้รับอานิสงส์ของการเข้ามาลงทุนจากต่างชาติในปีที่ผ่านมาสูงสุดในรอบ 5 ปี เพราะนักลงทุนจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยปรับโครงสร้างซัพพลายเชนครั้งใหญ่เพื่อกระจายความเสี่ยงทำให้ไทยมีความพร้อมและมีศักยภาพเนื่องจากมีซัพพลายเชนครบวงจร โครงสร้างพื้นฐานที่ดีสามารถเข้ามาลงทุนในนิคมฯได้ทันทีประกอบกับไทยเองไม่ใช่คู่ขัดแย้ง ทำการค้าขายได้ทั่วโลก

“สาขาที่เป็นเป้าหมายเช่นอีวีเราเป็นเบอร์หนึ่งภูมิภาค และเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเราประสบความสำเร็จมาก2-3 ปีเรามีใหม่เป็น10 รายแม้แต่แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์PCBก็มีสัดส่วนการลงทุนที่สูงมากเช่นกันมีมูลค่าเกือบแสนล้านบาทชี้ให้เห็นว่าเราเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียนและติดTOP3 ของโลก”เลขาบีโอไอกล่าว

Powered By : Positioning

advertisement

SPOTLIGHT