การเงิน

KGI เปิดตัว JAPAN13-HK13-HKTECH13 DR อิง ETF ญี่ปุ่น-จีน-ฮ่องกง อีกทางเลือกถือหุ้นต่างประเทศ

14 ก.พ. 67
KGI เปิดตัว JAPAN13-HK13-HKTECH13 DR อิง ETF ญี่ปุ่น-จีน-ฮ่องกง อีกทางเลือกถือหุ้นต่างประเทศ

บล.เคจีไอ (KGI) รุกตลาด Deposita​ry Receipt (DR) เพิ่มทางเลือกนักลงทุนที่ต้องการลงทุนต่างประเทศ ล่าสุดออก “JAPAN13” – “HK13” – “HKTECH13” DR อ้างอิงกองทุน ETF ที่ลงทุนในหุ้นชั้นนำขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น-จีน-ฮ่องกง ชี้ตลาดจีนลงต่ำมีโอกาสฟื้นตัว มีลุ้นมาตรการรัฐกระตุ้นศก. ส่วนญี่ปุ่นดีต่อเนื่อง

นายเจนวิทย์ ชินกุลกิจนิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายธุรกิจตราสารอนุพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า เคจีไอตัดสินใจออก “Depositary Receipt” หรือ “DR” มาพร้อมกันถึง 3 หลักทรัพย์ เพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจ DW และเพิ่มทางเลือกการลงทุนในต่างประเทศให้กับนักลงทุนไทย เนื่องจากการเปลี่ยนแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกาจากที่เป็นขาขึ้นในปี 2023 เป็นแนวโน้มคงที่หรือปรับตัวลง ทำให้มีโอกาสที่จะมีการเคลื่อนไหวของเงินลงทุนทั่วโลกในตลาดหุ้นขนาดใหญ่มากขึ้น

ในปี 2023 ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกเคลื่อนตัวแยกกันอย่างชัดเจน โดยในขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีมูลค่าสูงขึ้น ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงกลับซบเซาลง โดยในปีที่ผ่านมา ดัชนี Nikkei225 เพิ่มขึ้นถึง 30% จน P/E ขึ้นไปสูงถึง 18 เท่า ขณะที่ดัชนี Hang Seng Index ลดลง 18% และ ดัชนี Hang Seng TECH Index ลดลง 15% 

ในปี 2024 เคจีไอจึงมองว่าความต้องการการลงทุนของนักลงทุนจะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่ยังสนใจตลาดหุ้นที่ร้อนแรงในปี 2023 คือตลาดหุ้นญี่ปุ่น กับอีกกลุ่มที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจจีนหลังราคาหุ้นปรับลงมาแรงต่อเนื่อง 3 ปี 

ดังนั้น เคจีไอจึงเลือกออก DR ที่อ้างอิงกับเศรษฐกิจฮ่องกงและจีนและตลาดหุ้นญี่ปุ่น ควบคู่ไปกับการออก DW ในประเทศไทย โดย DR ทั้ง 3 ตัว ได้แก่

  1. “JAPAN13” DR ที่ลงทุนในกองทุน ETF ChinaAMC MSCI Japan Hedged to USD ETF (3160 HK) ซึ่งเป็นกองทุนที่มีการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่ญี่ปุ่นมากกว่า 200 ตัว เช่น TOYOTA, SONY Group และ Mitsubishi UFJ Financial Group เป็นต้น ในปี 2023 ราคากองทุน ETF นี้ปรับตัวขึ้นถึง 32.7% และมีค่ามูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการสูงกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท
  2. “HK13” DR ที่ลงทุนในกองทุน ETF Tracker Fund of Hong Kong (2800 HK) ซึ่งจะมีราคาเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับดัชนี Hang Seng ซึ่งเป็นดัชนีที่ครอบคลุมหุ้นประมาณ 80 บริษัทที่มีการทำธุรกิจในประเทศจีนและฮ่องกง เช่น HSBC Holding, TENCENT, AIA Group, ALIBABA และ CHINA Mobile เป็นต้น กองทุนมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการสูงถึงกว่า 5 แสนล้านบาท
  3. “HKTECH13” DR ที่ลงทุนในกองทุน Heng Seng TECH Index ETF (3032 HK) ที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องเทคโนโลยีขนาดใหญ่ และทำธุรกิจในประเทศจีนเป็นหลัก ครอบคลุมหุ้น 30 ตัว เช่น XIAOMI, TENCENT, NETEASE, ALIBABA และ SMIC โดยกองทุนนี้มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการสูงกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท

 

DR คืออะไร มีข้อดียังไง? 

“DR” หรือ “Depositary Receipt” เป็นตราสารการเงิน หรือ “ตราสารแสดงสิทธิในการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ” ที่เป็นตัวกลางการลงทุนให้นักลงทุนสามารถลงทุนในต่างประเทศได้ผ่านการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

มีข้อดีคือทำให้นักลงทุนสามารถได้รับเงินปันผลและผลตอบแทนจากหุ้นได้เหมือนการถือหุ้นจริง จากที่ปกติการลงทุนในต่างประเทศโดยตรงจะทำได้ยาก เพราะต้องเปิดบัญชีหุ้นที่ต่างประเทศ และต้องเสียภาษีบนกำไรที่นำกลับเข้ามาด้วย 

นอกจากนี้ DR ยังมีราคา Bid-Offer ที่อ้างอิงกับราคาหุ้นต่างประเทศที่แปลงมาเป็นสกุลเงินไทยบาท นักลงทุนจึงใช้บัญชีซื้อขายหุ้นปกติลงทุนใน DR ได้เลย โดย DR ไม่มีวันหมดอายุ จึงเหมาะกับการลงทุนระยะยาว แตกต่างจาก DW ที่มีอายุจำกัด และอัตราทดสูง จึงเหมาะกับการเก็งกำไรในระยะสั้นมากกว่า

ทำไมหุ้นญี่ปุ่นและจีนจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน?

นายเจนวิทย์กล่าวว่า หุ้นจีน ฮ่องกง เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนในปีนี้เพราะเป็นหุ้นที่ยังมีโอกาสเติบโต เพราะในปัจจุบันมีราคาต่ำ และมีโอกาสฟื้นตัวจากมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาลที่น่าจะอัดฉีดยาแรงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้

ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา หุ้นจีนและฮ่องกงปรับตัวลดลงมากกว่า 60% จากทั้งผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 วิกฤตสภาพคล่องในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้เกิดการกีดกันการค้า รวมไปถึงการย้ายฐานการผลิตของบริษัทใหญ่ไปประเทศอื่น

ถึงแบบนั้น หุ้นจีนและฮ่องกงก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่มองข้ามไม่ได้ เพราะเป็นหุ้นที่มีโอกาสฟื้นตัวจากมาตรการรัฐ อีกทั้งในปัจจุบันยังมีราคาต่ำ ทำให้น่าเข้าไปซื้อเก็บไว้ รอราคาดีดขึ้นจากการกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต

ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่น แม้ในปีที่ผ่านมาจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากจนมีมูลค่าค่อนข้างสูง ก็ยังมีศักยภาพในการเติบโตได้ต่อ เพราะในปีที่ผ่านมารัฐบาลญี่ปุ่นได้มีมาตรการสำคัญในการกระตุ้นให้บริษัทในประเทศลงทุน ด้วยการบังคับให้บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ส่งแผนในการใช้เงินทุนในการดำเนินหรือขยายธุรกิจ ซึ่งเป็นการกดดันให้บริษัทญี่ปุ่นมีการเคลื่อนไหว ทั้งที่เมื่อก่อนเน้นเก็บสินทรัพย์เป็นเงินสดสำรองไว้เป็นปริมาณมากๆ 

เคจีไอเชื่อว่ามาตรการนี้จะทำให้บริษัทญี่ปุ่นใหญ่ๆ ต้องออกมาเคลื่อนไหวลงทุนขยายธุรกิจกันมากขึ้น และทำให้มีนักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น และการเข้าไปของทุนต่างนี้ก็จะทำให้หุ้นญี่ปุ่นมีศักยภาพพอที่จะเติบโตขึ้นได้อีกในอนาคต

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT