การเงิน

ปี 2024 ตลท.เตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมขยายระยะเวลาเทรดหุ้นไทย

11 ม.ค. 67
ปี 2024 ตลท.เตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมขยายระยะเวลาเทรดหุ้นไทย

ตลาดหุ้นไทยปีที่ผ่านมาถือเป็นปีที่นักลงทุนท้อและต้องฝ่าฟันกันค่อนข้างมากเลยทีเดียว เมื่อภาวะตลาดหุ้นไทยไม่เหมือนตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ตลาดหุ้นปรับลดลงอยากมาก และปีนี้เองก็ยังเป็นคำถามว่าจะปรับตัวดีขึ้นหรือไม่ ถือเป็นความท้าทายกับนักลงทุนเลยเลยทีเดียว

ปี 2024 ตลท.มีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้กับนักลงทุน

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เผยว่า ในปีที่ผ่านมาสภาวะตลาดหุ้นไทยได้รับกระทบจากสิ่งแวดล้อม และปัจจัยภายนอกค่อนข้างมาก โดยในแผนในปีนี้ภายนอกทำอย่างไรมีผลิตภัณฑ์ให้มาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น เช่น การเข้ามาจดทะเบียนบริษัทต่างประเทศ เป็นต้น

ส่วนแผนงานในประเทศ ก็คือจะให้ความสำคัญเรื่องการระดมทุนเกี่ยวกับคุณภาพบริษัทที่ใหญ่ขึ้น ปรับมาตรฐานให้สูงขึ้น มาดูแลบริษัท

 

สำหรับภาวะเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นหรือไม่ อยากให้พิจารณาจากความสามารถในการทำกำไรของแบงก์ดีขึ้น แสดงว่า เศรษฐกิจไทยดีขึ้น และคิดว่าปีนี้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยดีขึ้น 

 

ขณะที่การลงทุนในหุ้นกู้นั้น อยากให้พิจารณาถึงความสามารถในในการทำกำไรของบริษัทมีความเสี่ยงอย่างไรบ้าง มีกระแสเงินสดมากน้อยแค่ไหน เพียงพอมาจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นอย่างไรบ้าง วิธีการบริหารสภาพคล่องของบริษัทที่ออกหุ้นกู้เป็นอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องกังวล

 

คาด Q2/24 ขยายเวลาซื้อขายหุ้นในตลท.

นายรองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานกฎหมายและหน้าหน้ากลุ่มงานเลขานุการองค์กรและกำกับองค์กร ในฐานะโฆษกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลท.เตรียมขยายเวลาการซื้อขายหุ้นเป็น 5 ชั่วโมง จากเดิม 4.30 ชั่วโมง โดยจะขยายเวลาการซื้อขายในช่วงภาคบ่ายเร็วขึ้น 30 นาที และจะเริ่มการซื้อขายภาคบ่าย 14.00 - 16.30 น. คาดว่าน่าจะเริ่มขยายเวลาการซื้อขายภายในไตรมาส 2/67 

ในช่วงปลายปี 2566 หลังจากทิศทางเงินเฟ้อโลกปรับลดลง และธนาคารกลางสำคัญต่างๆ ในหลายประเทศมีท่าทีผ่อนคลายนโยบายการเงินที่ชัดเจนมากขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจไม่เข้าสู่สภาวะถดถอยอย่างรุนแรง ผู้ลงทุนจึงเคลื่อนย้ายเงินทุนไปยังสินทรัพย์เสี่ยง อาทิ บิตคอยน์ ตลาดหุ้นในหลายประเทศ และพันธบัตรผลตอบแทนสูง 

โดยในปี 2566 แม้ตลาดหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าตลาดหุ้นในหลายประเทศที่ได้รับอานิสงส์จากเงินทุนไหลเข้าจากแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลงและเงินสกุลดอลล่าร์อ่อนค่า แต่หากมองย้อนกลับไปในปี 2565 SET Index เป็นเพียงไม่กี่ดัชนีในโลกที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก และหากพิจารณาในช่วง 2565-2566 จะเห็นว่า SET Index เคลื่อนไหวใกล้เคียงกับดัชนีอื่นๆ ในภูมิภาค

ว่าจ้างที่ปรึกษาศึกษาโปรแกรมเทรดดิ้ง

รวมทั้งได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าการยกระดับการทำงาน โดยล่าสุดตลท.ได้ว่าจ้างบริษัทต่างประเทศเพื่อเข้ามาช่วยศึกษาโปรแกรมเทรดดิ้ง ซึ่งได้เริ่มศึกษาแล้วตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาและคาดว่าประมาณสัปดาห์หน้าจะมีรายงานออกมาเบื้องต้น

โดยจะเป็นข้อมูลที่นำไปใช้ในการหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง อาทิ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยจะนำมารวมในผลการศึกษาทั้งหมดก่อนที่จะส่ง Final report ทั้งนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายสัปดาห์แรกของเดือนก.พ. 67 หรือช่วงกลางเดือน ก.พ. 67

*แยก "C-sign" ยกระดับการเตือน

นอกจากนี้ได้ยกระดับการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ คือ แยกเครื่องหมาย "C-sign" เพื่อยกระดับการเตือน โดยคาดว่าจะเริ่มใช้เครื่องหมาย C ไม่เกินปีนี้ แบ่งเป็น

  • CB เพื่อบ่งชี้เหตุการณ์ให้แก่นักลงทุนว่า บริษัทดังกล่าวอาจมีเหตุน่ากังวลในการดำเนินธุรกิจ เช่น equity น้อย, รายได้น้อย ขาดทุนติดต่อกัน หรือผิดนัดชำระหนี้
  • CS จะเกี่ยวข้องกับปัญหางบการเงิน เช่น ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็น สำนักงาน ก.ล.ต.สั่งให้ทำ Special Audit
  • CF เป็นบริษัทที่มีปัญหาประเด็น Free Float ไม่เป็นไปตามเกณฑ์
  • CC ประเด็นกังวลที่เกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตาม เช่น บริษัทมี AC ไม่ครบองค์ประกอบตามที่กฎหมายกำหนด เป็นต้น

ตลท.คาดปี 2024 มีเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้น

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในปี 2567 มีโอกาสที่เงินลงทุนเคลื่อนย้ายมาตลาดหุ้นในภูมิภาค ASEAN โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก สังเกตจากเงินบาทที่มีแนวโน้มกลับมาแข็งค่าในระยะปานกลาง ประกอบกับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขยายตัวได้สูงกว่าคาด ตามการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว การส่งออก และการบริโภคภายในประเทศ นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ปรับคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) และ Forward P/E ในปี 2567 ของ SET ไปยังจุดที่มีความน่าสนใจในการลงทุนมากขึ้นกว่าปีก่อนหน้า ขณะที่มีหลายกลุ่มอุตสาหกรรมใน SET ที่มีคาดการณ์ EPS Growth สูงแต่มี valuation ที่ยังอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต 

สรุปข้อมูลสำคัญภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย

  • ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 SET Index ปิดที่ 1,415.85 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 2.6% จากเดือนก่อนหน้า โดยปรับลดลง 15.2% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า
  • ในเดือนพฤศจิกายนปี 2566 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2565 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน และกลุ่มเกษตรและอาหาร และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค
  • ในเดือนธันวาคม 2566 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 39,980 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 28.8% โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปี 2566 อยู่ที่ 53,331 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิเป็นเดือนแรกหลังจากขายสุทธิสิบเดือนต่อเนื่อง โดยในเดือนธันวาคม 2566

ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 70 ล้านบาท ทำให้ในปี 2566 ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 192,083 ล้านบาท โดย       ผู้ลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 20

  • ในเดือนธันวาคม 2566  มีบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ซื้อขายใน SET 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. เอเชีย เน็ตเวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล (ANI) และ บมจ. เอสซีจี เดคคอร์ (SCGD) และใน mai 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MGI)
  • Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 อยู่ที่ระดับ 16.7 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.4 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 19.4 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 15.0 เท่า
  • อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 อยู่ที่ระดับ 3.21% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.28%

สรุปภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

  • ในปี 2566  ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 532,886 สัญญา ลดลง 5.8% จากปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures ขณะที่ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของ SET50 Index Futures ปรับเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา

advertisement

SPOTLIGHT