การเงิน

หุ้นไทย 6 เดือนแรกปีนี้ ลดลง 9.9% มากสุดในอาเซียน ต่างชาติขายหุ้นไทย กว่า 1 แสนล้านบาท

10 ก.ค. 66
หุ้นไทย 6 เดือนแรกปีนี้ ลดลง 9.9% มากสุดในอาเซียน ต่างชาติขายหุ้นไทย กว่า 1 แสนล้านบาท

ตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่ต้นปีจนถึง ณ สิ้นเดือนมิ.ย.2566 นี้ ปรับลดลง 9.9% ถือว่าติดลบอีกครั้ง ในรอบ 2 ปี จากที่เคยติดลบไปเมื่อปี 2563 ที่ลดลงไป 8.3% จากสถานการณ์โควิด 

ดัชนี้หุ้นไทยถือว่าลดลงมากสุดในอาเซียน รองลงมา คือ มาเลเซีย ที่ลดลง 7.9% และฮ่องกง ลดลง 4.4% ซึ่งนักลงทุนให้ความสนใจในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น เห็นได้จากผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ Bitcoin ที่ให้ผลตอบแทน 80% ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ อยู่ที่ 14.0%  ส่วนหุ้นที่เข้าไปลงทุนจะเป็นหุ้นที่เติบโตและกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ รวมถึงหุ้นกู้ High Yield ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นกู้โดยรวม 

สะท้อนมุมมองผู้ลงทุนที่คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรง โดยธนาคารโลก (World Bank) คาดเศรษฐกิจไทยในปี 2566 จะเติบโต 3.9% ปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์ในประเทศและการท่องเที่ยว 

ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า อาจเห็นสัญญาณจากรัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นในภาคการคลังขนาดใหญ่เพื่อพยุงเศรษฐกิจที่ซบเซา ซึ่งอาจส่งผลบวกต่อบริษัทจดทะเบียนไทยที่ได้รับอานิสงส์จากที่มีการค้าขายกับจีนมาก รวมถึงภาคการท่องเที่ยว

SET

“ ความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนในตลาดหุ้นไทยปรับลดลงจากต้นปี 2566 จากกรณีมีหุ้นกู้ของบริษัทจดทะเบียนบางแห่งผิดนัดชำระหนี้ ส่งผลให้ผู้ลงทุนมีความกังวลในการลงทุนทั้งในตลาดตราสารทุน และตราสารหนี้ จึงเห็นแรงเทขายในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก แต่การเมืองในประเทศที่มีพัฒนาการดีขึ้นหลังได้ประธานสภาฯ ส่งผลให้ดัชนีต่างๆ เริ่มปรับตัวดีขึ้น และหากพิจารณาจากอัตราส่วน Forward PE ของ SET ยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ทำให้ผู้ลงทุนบุคคลและสถาบันในประเทศเริ่มกลับมาซื้อสุทธิในครึ่งแรกปี 2566” นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกล่าว

ตลาดหุ้นไทยลดลงมากสุดในอาเซียน

SET

โดยณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 SET Index ปิดที่ 1,503.10 จุด ปรับลดลง 2.0% จากเดือนก่อนหน้า และปรับลดลง 9.9% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า 

ตลาดหุ้นไทยลดลงมากสุดในอาเซียน รองลงมา คือ มาเลเซีย ที่ลดลง 7.9% และฮ่องกง ลดลง 4.4% ซึ่งตลาดหุ้นอื่นในอาเซียนก็ปรับลดลงเช่นเดียวกัน 

กลุ่มหุ้นไทยที่ปรับลดลง ได้แก่ 

  1. กลุ่มเทคโนโลยี ปรับลดลง 1.0%
  2. กลุ่มการเงิน ลดลง 7.3%
  3. กลุ่มบริการ ลดลง 8.5%
  4. กลุ่มการบริโภค ลดลง 8.0%

ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของตลาดหุ้นไทย ทั้ง SET และ mai ลดลง 33.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าซื้อขายต่อวันที่ 47,893 ล้านบาท และมูลค่าการซื้อขายต่อวันในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ ลดลง 32.8% คิดเป็นมูลค่าซื้อขายต่อว้นที่ 58,670 ล้านบาท

โดยผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่ 5  โดยในเดือนมิถุนายน 2566 ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 8,617 ล้านบาทอย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14 ที่ระดับ 49.82% และช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 105,623 ล้านบาท

นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นเหตุมีบริษัทผิดนัดชำระหนี้

ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยลดลงจากช่วงต้นปี 2566 จากกรณีที่มีหุ้นกู้ของบริษัทจดทะเบียนบางแห่งผิดนัดชำระหนี้ ทำให้ผู้ลงทุนมีความกังวลในการลงทุนทั้งในตลาดตราสารทุน และตลาดตราสารหนี้ จึงเห็นแรงเทขายหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก แต่สถานการณ์การเมืองในประเทศที่มีพัฒนาการดีขึ้นหลังจากได้ประธานสภา ก็เชื่อว่าน่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยให้เริ่มปรับตัวดีขึ้น

มิ.ย.มีหุ้น IPO 3 บริษัท

ขณะที่เดือนมิถุนายน 2566 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค (BLC) และใน mai 2 หลักทรัพย์ได้แก่ บมจ. ทีบีเอ็น คอร์ปอเรชั่น (TBN) และ บมจ. ไทยพาร์เซิล (TPL)  

ด้านForward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 อยู่ที่ระดับ 16.0 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.8 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 20.6 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.2 เท่า

ส่วนอัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 อยู่ที่ระดับ 3.22% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.38%

ตลาด TFEX ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น

เดือนมิถุนายน 2566 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 608,801 สัญญา เพิ่มขึ้น 21.4% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ SET50 Index Futures และ Single Stock Futures และในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน  558,565 สัญญา ลดลง 2.2% จากปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures

advertisement

SPOTLIGHT