การเงิน

ลุ้นศาลฯ ชี้ขาดปมนายก 8 ปี 'ลุงตู่' ได้ไปต่อหรือต้องหยุด กระทบตลาดหุ้นยังไง?

30 ก.ย. 65
ลุ้นศาลฯ ชี้ขาดปมนายก 8 ปี 'ลุงตู่' ได้ไปต่อหรือต้องหยุด กระทบตลาดหุ้นยังไง?

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์(บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินว่ากรณีที่ในช่วงบ่ายวันนี้(30 ก.ย. 65)  ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยคดีวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

โดยมุมมองของฝ่ายวิเคราะห์ฯ ของ บล.หยวนต้า ได้ประเมินไว้แบ่งเป็น 2 กรณี คือ 

  • กรณีแรก ศาลรัฐธรรมนูญคำวินิจฉัยออกมาให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศต่อไปได้ ในกรณีนี้ประเมินว่าจะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นให้การซื้อขายภาคบ่าย หลังผลคำวินิจฉัยออกมาให้มีโอกาสบวกได้ประมาณ 5-10 จุด เพราะจะช่วยสร้างความชัดเจนให้กับนักลงทุนถึงนโยบายในการบริหารประเทศต่อไปของรัฐบาล
    เนื่องจากจะเป็นปัจจัยที่รัฐบาลที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี จะสามารถดำเนินกาารเดินหน้าสู่กระบวนการเลือกตั้งทั่วไปตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศวันเลือกตั้งไว้คือในวันที่ 7 พ.ค. 2566 หรืออาจเกิดขึ้นได้เร็วกว่ากำหนดการนี้ได้กด้วย หากรัฐบาลประกาศยุบสภาก่อน 
  • ทั้งนี้จากการดูสถิติย้อนหลังจะพบว่าระยะเวลา 1 เดือนในช่วงก่อนวันเลือกทั่วไปของไทย ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 2% และหลังจากวันเลือกตั้งผ่านอีก 1 เดือน ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกประมาณ 5% รวมเป็นการปรับเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 7%
  • กรณีที่สอง ศาลรัฐธรรมนูญคำวินิจฉัยออกมาให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สิ้นสุดลง กรณีนี้ถือเป็นปัจจัยกดดันต่อการลงทุนในตลาดหุ้น เนื่องจากจะเป็นปัจจัยที่สร้างความคลุมเครือทางการเมืองซึ่งมีผลกระทบต่อการบริหารประเทศ เพราะในกรณีนี้จะมีผลให้คณะรัฐมนตรี(ครม.) ทั้งชุดภายใต้การนำพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องสิ้นสภาพความเป็นรัฐมนตรีลงตามไปด้วย 
  • จากนั้นจะต้องไปเข้ากระบวนการในการสรรหานายกรัฐมนตรี และ ครม. เพื่อมาทดแทนทั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเดิมที่สิ้นสภาพลงตามคำวินิจฉัยของศาลฯ โดยในกรณีนี้จะเป็นปัจจัยลบกดดันให้ตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลดลงไปได้ประมาณ 5-10 จุด

 

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันฝ่ายวิเคราะห์ฯ ได้ให้น้ำหนักปัจจัยต่างประเทศจะยังมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนมากกว่าอยู่ที่ประมาณ 80% ส่วนปัจจัยการเมืองในประเทศยังให้น้ำหนักเพียง 20% เพราะขณะนี้นักลงทุนทั่วโลกยังให้น้ำหนักมีความกังวลต่อกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) กำลังเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสกัดเงินเฟ้อของสหรัฐที่กำลังเร่งตัวสูงขึ้น

คาดหาก 'ลุงตู่' ได้เป็นนายกฯ ต่อจะยุบสภาฯ หลังจบเอเปค

ด้านนายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ. ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ. บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ประเมินว่า ติดตามการพิจารณาคดีวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ครบ 8 ปี ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ความเป็นไปได้และผลัพธ์ต่อเนื่องจะเป็นดังนี้

  1. ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาให้ดำรงตำแหน่งต่อได้ (นับระยะเวลาดำรงตำแหน่งแค่จากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน) คาดจะเห็นการปรับครม.ในบางตำแหน่ง และอาจยุบสภาหลังเป็นเจ้าภาพประชุมเอเปค (18-19 พ.ย.65) ซึ่งทำให้การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2565 
  2. ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาว่าดำรงตำแหน่งครบวาระ 8 ปี ในกรณีนี้ อาจมีการชี้ว่านายกฯ สามารถรักษาการหรือไม่ ขณะที่สภาผู้แทนราษฎรจะเข้าสู่กระบวนการสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีตามบัญชีรายชื่อจากฝั่งรัฐบาล ได้แก่ คุณอนุทิน ชาญวีรกุล, คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะที่รัฐธรรมนูญเปิดช่องให้สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีนอกรายชื่อได้หากได้รับการรับรองจากรัฐสภา (ส.ส.รวมส.ว.) ในกรณีนี้ เราคาดรัฐบาลอาจดำรงตำแหน่งไปจนครบวาระ 24 มี.ค. 2566 ซึ่งทำให้การเลือกตั้งจะเกิดในช่วงไตรมาส 2/2566


อย่างไรก็ดีภาพรวมการลงทุนโลกยังถูกกดดันจากการปรับประมาณการเศรษฐกิจ แต่จะเริ่มมีแรงหนุนจากการแข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง 

  1. บรรยากาศลงทุนโดยรวมจะยังถูกกดดันจากการรับประมาณฏารเศรษฐกิจโลกของสถาบันต่างๆ อาทิ World Economic Outlook ของ IMF ที่จะออกในช่วง ต.ค. รวมไปถึงการปรับประมาณการกำไรบจ. ของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก 
  2.  การแข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐฯ ที่คาดชะลอตัวลงจากมาตรการแทรกแซงของธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลก จะเริ่มลดแรงกดดันการอ่อนค่าของสกุลเงินตลาดเกิดใหม่
  3. ติดตามการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีน เริ่ม 16 ต.ค. ซึ่งตลาดมองว่าจะมีการพิจารณาเรื่องขยายวาระการดำรงตำแหน่งของ สี จิ้นผิง แต่จะยังไม่มีการผ่อนปรนมาตรการ Zero-covid 

advertisement

SPOTLIGHT