“มาบตาพุด เฟส 3” ก่อสร้างแล้ว 73% คาดเปิดให้บริการปี 2570
ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ได้ให้เอกชนเข้ามาร่วมทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน(Infrastructure) มูลค่าลงทุนรวม 55,400 ล้านบาท เพื่อรองรับการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติ และวัตถุดิบเหลวสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเครมี บนเนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่
ขณะที่การก่อสร้างคืบหน้ากว่า 73.01% คาดหากเป็นไปตามแผนที่วางไว้ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานจะแล้วเสร็จเดือนธันวาคม 2567 และพร้อมเปิดให้บริการได้ในปี 2570
โดยการก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ล่าสุดอยู่ที่ 73.01% โดยเป็นการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน (ถมทะเล) แล้วเสร็จ การก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคภายในพื้นที่ท่าเรือ การก่อสร้าง ระบบป้องกันมลพิษ และการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภครองรับการพัฒนาในเฟสต่อไป
ทั้งนี้ หากโครงการฯ เป็นไปตามแผนที่วางไว้ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานจะแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2567 และพร้อมเปิดให้บริการได้ในปี 2570 เมื่อโครงการนี้พัฒนาแล้วเสร็จจะสามารถรองรับการขนส่งได้ 31 ล้านตันต่อปี หรือเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเลยทีเดียว
โดยปัจจุบันท่าเรือมาบตาพุด ถือเป็นท่าเรืออุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีความสามารถในการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติ และสินค้าเหลว มีปริมาณ 16 ล้านตันต่อปี ปัจจุบันมีผู้ประกอบการ 12 ราย เป็นผู้ให้บริการท่าเทียบเรือเฉพาะกิจ 9 ราย และผู้ให้บริการท่าเทียบเรือสาธารณะ 3 ราย ปัจจุบันมีการใช้งานเต็มศักยภาพแล้ว จึงมีความจำเป็นต้องขยายท่าเรือ
ล่าสุด การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) แจงจ่ายเงินเยียวยาผู้ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ช่วงที่ 1 แล้วเกือบ 100 % ยืนยันติดตามความเดือดร้อนของประชาชนและดูแลอย่างต่อเนื่อง ย้ำดำเนินการตามขั้นตอนอย่างรอบคอบและโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์สูงสุด
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เผยถึงแนวทางการเยียวยา ผู้ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านที่ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 นั้น ได้มีการพิจารณาตามหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงและเหมาะสมกับบริบทของพื้นที่
โดยคำนึงถึงผลกระทบจากโครงการทั้งทางตรงและทางอ้อม กนอ. ดูแลและติดตามความเดือดร้อนของประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมดำเนินการจัดตั้งกองทุนมูลนิธิหลักประกันความเสียหายฉุกเฉิน และกองทุนพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยมีคณะกรรมการกองทุนบริหารจัดการกองทุนตามที่ EHIA (Environmental and Health Impact Assessment : รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับ โครงการ กิจการหรือการดำเนินการที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชนอย่างรุนแรง) กำหนดอย่างครบถ้วน
ที่ผ่านมา กนอ. จ่ายเงินเยียวยาผู้ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฯ แล้ว เป็นเงินทั้งสิ้น 93,500,000 บาท ยังเหลือค้างจ่าย 1 ราย เนื่องจากต้องรอเอกสารจากศาล และโอนเงินงบประมาณโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ให้กับชุมชนในเขตเทศบาลเมืองมาบตาพุดที่ดำเนินโครงการแล้วเสร็จ 100%
“กนอ. เข้าใจถึงความเดือดร้อนของชาวประมงและชุมชนในพื้นที่ จึงดำเนินการตามขั้นตอนรวมถึงวิธีการเยียวยาตามที่ EHIA กำหนด ด้วยความรอบคอบและโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์สูงสุด รวมทั้งแจ้งข้อมูลการเยียวยาให้กับผู้ได้รับผลกระทบทุกรายทราบแล้ว หากผู้ได้รับผลกระทบรายใดไม่ได้รับเรื่องหรือไม่ได้รับหนังสือแจ้งการเยียวยา ก็สามารถติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด หรือสายด่วน 1355 ตลอด 24 ชั่วโมง” นายวีริศกล่าว
