
ท่ามกลางปัญหาและกระแสข่าว ‘ทุนเทา’ ในประเทศไทย ที่ทำให้สังคมตั้งคำถามกับรัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแล สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุน ได้เผยแพร่บทความ ก.ล.ต. ทำอะไรกับ “ทุนเทา” ออกมาในวันที่ 22 ธันวาคม 2568 เพื่ออธิบายถึงการทำงานของ ก.ล.ต. ในการปราบปรามทุนเทา
บทความของ ก.ล.ต. เริ่มต้นจากการอธิบายว่า ‘ทุนเทา’ เป็น ‘ปัญหาเชิงซ้อน’ มีปัญหาหลายมิติทับซ้อนกันอยู่ ทั้งบัญชีม้า การหลอกลวงประชาชน ธุรกิจผิดกฎหมาย เงินสีเทา และการฟอกเงิน ซึ่งนับวันจะยิ่งมีความซับซ้อนและแยบยลมากขึ้น ดังนั้น การมองปัญหาทุนเทาแบบแยกส่วนและการจัดการแบบต่างคนต่างทำ คงไม่สามารถขุดรากถอนโคนไปถึงต้นตอปัญหาได้ ต้องมองอย่างรอบด้านและแก้ปัญหาทุกจุดไปพร้อม ๆ กัน
“ก.ล.ต. ได้เห็นปัญหาและขับเคลื่อนอย่างเต็มกำลังมาตลอดและต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมา ก.ล.ต. ทำงาน ‘เชิงรุก’ ทั้งการป้องกัน ป้องปราม และปิดกั้น โดยให้ความสำคัญกับปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ ร่วมทั้งการสกัดกั้นไม่ให้ทุนเทาใช้ตลาดหุ้นและตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นแหล่งสนับสนุนธุรกิจผิดกฎหมายและการฟอกเงิน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ช่องทางผ่านผู้ประกอบธุรกิจตัวกลาง การเข้ามาครอบงำกิจการโดยอาศัย ‘นอมินี’ หรือเปิดบริษัทบังหน้า หรือซ่อนตัวอยู่ภายใต้โครงสร้างผู้ถือหุ้นที่ซับซ้อน รวมทั้งยกระดับความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อสอดรับกับแนวนโยบายในการปราบปรามสแกมเมอร์ ซึ่งเป็น ‘วาระแห่งชาติ’ ” ก.ล.ต.ยืนยันว่าไม่ได้นิ่งเฉย
ในตอนท้ายของบทความ ก.ล.ต.บอกว่า มีหลายเรื่องที่อยู่ระหว่างดำเนินการซึ่งไม่สามารถเปิดเผยความคืบหน้าได้ แต่อยากให้มั่นใจว่า ก.ล.ต.และหน่วยงานภาครัฐจริงจังในการแก้ปัญหา พร้อมยืนยันว่า ตลาดทุนไทยไม่ได้มีสีเทา
“แม้ว่าปัญหาทุนเทาจะไม่สามารถจัดการได้ภายในข้ามคืน และบางเรื่องอาจดูเหมือนไม่มีความคืบหน้า ล่าช้าไม่ทันใจ เป็นเพราะหลายเรื่องที่กำลังทำอยู่ ยังไม่สามารถให้ข้อมูลได้จนกว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการ แต่ยืนยันได้ว่า ก.ล.ต. รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอาจริงกับปัญหาทุนเทาและกัดไม่ปล่อยแน่นอน
“ก.ล.ต. อยากให้ความมั่นใจว่า ปัญหาทุนเทาที่เกิดขึ้น ถึงแม้บั่นทอนความเชื่อมั่นในบางจุด แต่การเห็นปัญหาและมีความร่วมมือแก้ไขภายใต้การมีธรรมภิบาลของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตลาดทุนไทยจึงไม่ได้เทาแบบที่กังวล และข้อเท็จจริงคือตลาดทุนไทยยังคงเป็นกลไกสำคัญของการระดมทุนและการออมที่สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดย ก.ล.ต. ยังคงเดินหน้าเต็มกำลังในการดูแลตลาดทุน เพื่อให้คุณมั่นใจ”
ก.ล.ต. ได้ทำอะไรไปแล้วบ้างเพื่อจัดการกับทุนเทา SPOTLIGHT สรุปเนื้อหาที่ ก.ล.ต. อธิบายออกมาได้ 17 ข้อ โดยแบ่งตามหัวข้อใหญ่ตามที่ ก.ล.ต.ระบุไว้ ดังนี้
1. ก.ล.ต. ยกระดับการกำกับดูแลตัวกลาง คือ ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ (บล.) และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อคุ้มครองแก่ผู้ลงทุน และป้องกันไม่ให้ธุรกิจหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลถูกใช้เป็นช่องทางการกระทำผิด โดยมีกฎเกณฑ์กำหนดให้ บล. และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลต้องทำกระบวนการทำความรู้จักตัวตนของลูกค้า (KYC) และการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (CDD) อย่างเข้มงวด หากลูกค้าไม่ให้ข้อมูล หรือข้อมูลไม่เพียงพอ ผู้ประกอบธุรกิจตัวกลางต้องปฏิเสธการให้บริการ
2. ในปี 2568 มีการยกระดับการดำเนินการ โดย ก.ล.ต. ร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (TDO) จัดทำมาตรการและออกมาตรฐานการป้องกันและจัดการบัญชีม้าของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ Industry Standards ที่เทียบเคียงได้กับการจัดการบัญชีม้าของภาคธนาคาร เช่น หากพบเหตุอันควรสงสัยว่าลูกค้าอาจเป็น ‘บัญชีม้า’ ต้องระงับการให้บริการ หรือดำเนินการตรวจสอบเชิงลึก (Enhanced Due Diligence: EDD) ทันที ทั้งนี้ ณ สิ้น พ.ย. 2568 ระงับบัญชีม้าแล้ว 45,476 บัญชี
3. ออกหลักเกณฑ์มาตรฐานและมาตรการเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำหรับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (shared ressponsibility) ให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหาย หากละเลยมาตรฐานจนลูกค้าเสียหาย (ตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ฉบับที่ 2)
4. แก้กฎหมายให้ปิดกั้นเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลต่างประเทศ (ที่ชักชวนคนไทยไปใช้บริการ) ได้โดยไม่ต้องยื่นคำขอต่อศาล เพื่อตัดวงจรเส้นทางเดินของทุนเทาที่อาศัยช่องทางของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลในต่างประเทศ
5. ก.ล.ต.มีการตรวจสอบ บล. และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ทั้งตามรอบระยะเวลาที่กำหนดอยู่แล้ว แต่เมื่อปรากฏเหตุหรือเป็นข่าวสาธารณะ และพิจารณาแล้วเห็นว่า อาจมีประเด็นเรื่องการปฏิบัติตามกฎหมายหลักทรัพย์หรือกฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัล ก.ล.ต.ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ประสานกับบริษัทที่เกี่ยวข้อง ขอทราบข้อมูลและคำชี้แจง เพื่อนำไปสู่การดำเนินการตรวจสอบที่เกี่ยวข้องต่อไป ขณะนี้ ก.ล.ต. อยู่ระหว่างการตรวจสอบ บล. และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และพร้อมบังคับใช้กฎหมายหากมีการฝ่าฝืนเกี่ยวกับมาตรฐานในการทำ KYC และ CDD ด้วย
6. จะร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สื่อสารความคาดหวังต่อ บล. และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เกี่ยวกับการทำ KYC และ CDD โดยกรณีที่เป็นลูกค้าในกลุ่ม ‘ต้องจับตามองเป็นพิเศษ’ หรือมีพฤติกรรมต้องสงสัย ต้องเพิ่มความเข้มข้นในการทําความรู้จักตัวตนของลูกค้า (enhanced KYC/CDD) ด้วย รวมทั้งเน้นย้ำหน้าที่ของ บล. และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ต้องการติดตามธุรกรรมและรายงานธุรกรรมที่น่าสงสัย (Suspicious Transaction Report) ให้ ปปง. ตามกฎหมายฟอกเงิน
7. ปัจจุบัน ก.ล.ต. กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลรายงานธุรกรรมลูกค้าอย่างครอบคลุมอยู่แล้ว ทั้งการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล การฝาก–ถอนเงินบาทผ่านบัญชีธนาคารหรือช่องทางการชำระเงิน และการฝาก–ถอนทรัพย์ดิจิทัลผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล (wallet) หรือการโอนระหว่างกระเป๋าเงินของลูกค้า โดยข้อมูลดังกล่าวต้องถูกบันทึกและตรวจสอบผ่านระบบ e-Reporting ที่พัฒนาโดย ก.ล.ต.
8. ก.ล.ต. มีแนวคิดที่จะปรับปรุงการรายงานข้อมูลของลูกค้าให้สอดคล้องกับแนวทางการกำกับการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) เช่น การมีข้อมูล location และ destination ของการทำธุรกรรม ซึ่งจะช่วยให้รู้พื้นที่ต้องสงสัยที่มีธุรกรรมหรือเพื่อติดตามเส้นทางธุรกรรม เป็นต้น
9. ก.ล.ต. ได้หารือกับ ปปง. ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อเร่งผลักดันและพร้อมสนับสนุน ปปง. ในการออกเกณฑ์ Travel Rule เพื่อกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถติดตามตรวจสอบเส้นทางเงินได้เช่นเดียวกับสถาบันการเงินประเภทอื่น ทั้งนี้ ก.ล.ต. เชื่อว่า เกณฑ์ Travel Rule จะเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
10. ก.ล.ต. และกระทรวง DE ได้หารือและอยู่ระหว่างเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบธุรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล (forensic tool) ของ ก.ล.ต. ด้วย
11. สำหรับบริษัทจดทะเบียน ซึ่งปัจจุบันกฎหมายและกฎเกณฑ์กำหนดให้บริษัทจดทะเบียนต้องเปิดเผยโครงสร้างการถือหุ้นอย่างชัดเจน และเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ 10 รายแรก รวมทั้งเปิดเผย “กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ที่มีอิทธิพลในการกําหนดนโยบายและการจัดการ” ซึ่งทำให้ผู้ลงทุนตรวจสอบได้ว่า ใครเป็น “เจ้าของตัวจริง” (Ultimate Beneficial Owner : UBO) นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นยังมีหน้าที่รายงานการถือหุ้น และการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Tender Offer) ตามที่กฎหมายกำหนด
ก.ล.ต. ยืนยันว่า ได้กำกับดูแลและตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถือหุ้น กรรมการ และผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนอย่างเข้มข้น และดำเนินการตามกฎหมายเมื่อพบการกระทำผิด และเมื่อพบประเด็นที่ต้องตรวจสอบเชิงลึก แม้ว่ากระบวนการบังคับใช้กฎหมายเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและต้องดำเนินการในทางลับเพื่อมิให้กระทบกับพยานหลักฐาน ก.ล.ต. ก็ดำเนินการอย่างเต็มที่ในการใช้กลไกที่มีอยู่เพื่อหารือและขอข้อมูล เพื่อนำมาขยายผลการตรวจสอบรายงานการถือหุ้นและการครอบงำกิจการ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวนี้ ก.ล.ต. เร่งหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาตลอด
12. ก.ล.ต. จะเสนอแก้ไขประกาศกระทรวงการคลัง ให้ปรับนิยาม “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของผู้ประกอบธุรกิจฯ” ให้ครอบคลุมถึง “บุคคลผู้มีอำนาจควบคุมเหนือผู้ประกอบธุรกิจหรือหุ้นของผู้ประกอบธุรกิจ” จากปัจจุบันที่มีการกำหนดให้เปิดเผยผู้ถือหุ้นที่มีสัดส่วนการถือหุ้นเกิน 10% (ทั้งทางตรงและทางอ้อม) เพื่อให้รู้ว่า ใครเป็นเจ้าของตัวจริงได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าผู้ประกอบธุรกิจฯ รายนั้นจะมีโครงสร้างผู้ถือหุ้นซับซ้อนแค่ไหนก็ตาม เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสกัดกั้นเงินเทาถูกครอบงำโดยกลุ่มทุนเทา
13. ในกรณีบริษัทจดทะเบียน แม้ ก.ล.ต. พิจารณา UBO ได้ตามกฎหมายหลักทรัพย์ในเรื่องการครอบงำกิจการอยู่แล้ว แต่ ก.ล.ต. พร้อมสนับสนุนและร่วมมือกับ ปปง. ในการเสนอแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในส่วนของการรายงานข้อมูลผู้ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริงด้วย
14. ก.ล.ต. มีมาตรการป้องกันภัยหลอกลงทุนในเชิงรุก เพื่อลดช่องทางการหลอกลงทุนประชาชน โดยการประสานงานกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มในการปิดกั้นการหลอกลงทุน (สามารถปิดกั้นได้ภายใน 7 นาที – 48 ชั่วโมง) และเตรียมขยายความร่วมมือ เช่น การพัฒนาความร่วมมือเพื่อปิดกั้นบัญชีที่แอบอ้างหน่วยงานหรือผู้ประกอบธุรกิจในการหลอกลงทุนโดยไม่ต้องรอการแจ้งจากผู้เสียหาย และการตรวจสอบเพื่อยืนยันตัวตนก่อนเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม
15. ก.ล.ต. ได้ร่วมมือกับกระทรวง DE ปิดกั้นเว็บไซต์และแอปพลิเคชันสินทรัพย์ดิจิทัลต่างประเทศที่เข้าข่ายประกอบธุรกิจที่ไม่ได้รับอนุญาต เพื่อสกัดกั้นช่องทางการฟอกเงิน ซึ่งช่วยป้องกันปัญหาการฟอกเงินผ่าน P2P ได้
16. ก.ล.ต.บอกว่า ในการจัดการกับ ‘ทุนเทา’ ที่อาศัยตลาดหุ้นและตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก.ล.ต. ไม่สามารถทำได้โดยลำพัง แต่ต้องอาศัย “ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด” จากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากหลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวง DE ปปง. และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมทั้งคณะทำงาน Connect the Dots ในการบูรณาการข้อมูล เชื่อมโยงภาพรวมธุรกรรมการเงินและสามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินในเชิงลึก ทั้งเงินสด หุ้น สินทรัพย์ดิจิทัล และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และจะมีการขับเคลื่อนร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสกัดกั้นเงินเทาต่อไป
17. นอกจากการประสานความร่วมมือในประเทศแล้ว ก.ล.ต. ยังได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานกํากับดูแลตลาดทุนต่างประเทศ ในการขยายผลการตรวจสอบรายงานการถือหุ้นและการครอบงํากิจการ
.
หมายเหตุ: อ่านบทความ ก.ล.ต. ทำอะไรกับ “ทุนเทา” ฉบับเต็ม