
ในที่สุดคดีภาษีหุ้นชินคอร์ป ซึ่งลากยาวมากว่าสองทศวรรษก็ได้สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการแล้วด้วยคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ที่ตัดสินว่ากรมสรรพากรมีอำนาจเรียกเก็บภาษีและค่าปรับจากการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จากนายทักษิณ ชินวัตร เป็นวงเงินรวมกว่า 17,629 ล้านบาท ถือเป็นบทสรุปของหนึ่งในข้อพิพาททางภาษีที่ยืดเยื้อและได้รับความสนใจที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
คำพิพากษานี้สวนทางกับทั้งศาลภาษีอากรกลางและศาลอุทธรณ์ ซึ่งเคยเพิกถอนการประเมินภาษีด้วยเหตุผลว่ากรมสรรพากรดำเนินการไม่ถูกต้องตามขั้นตอนกฎหมาย โดยก่อนหน้านี้คดีได้ผ่านการฟ้องร้องเป็นทอด ๆ หลายครั้ง ทั้งในศาลภาษีอากรและศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สะท้อนความซับซ้อนของประเด็นกรรมสิทธิ์หุ้น เส้นทางการโอนหุ้นผ่านบริษัทแอมเพิล ริช และการตีความอำนาจประเมินภาษีของเจ้าหน้าที่รัฐ
ในบทความนี้ SPOTLIGHT ชวนผู้อ่านย้อนดูจุดเริ่มต้นของคดีว่า เหตุใดข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์หุ้นและอำนาจประเมินภาษีจึงลากยาวมาเกือบ 20 ปี และทำไมศาลฎีกาจึงกลับคำจากสองศาลแรก จนนำไปสู่บทสรุปที่กำหนดให้ทักษิณต้องชำระภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ปในท้ายที่สุด
บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชื่อภาษาอังกฤษ “Shin Corporation PCL” (SHIN) เป็นหนึ่งในอดีตบริษัทโฮลดิ้งด้านโทรคมนาคม สื่อ และเทคโนโลยี (TMT) ที่เติบโตขึ้นพร้อมกับโครงสร้างอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย โดยเคยเป็นถือหุ้นในบริษัทสำคัญหลายแห่ง เช่น บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ผู้ให้บริการมือถือรายใหญ่ และบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการดาวเทียมสื่อสารรายสำคัญของประเทศ โครงสร้างดังกล่าวทำให้ชินคอร์ปเป็นแกนกลางของอาณาจักรธุรกิจด้านสื่อสารและเทคโนโลยีของไทยมานานหลายทศวรรษ
บริษัทมีจุดเริ่มต้นจาก “ชินวัตรคอมพิวเตอร์” ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยนายทักษิณ ชินวัตร ในช่วงกลางทศวรรษ 2520 (ประมาณปี 2526) ทำธุรกิจติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ให้หน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อนจะขยายไปสู่ธุรกิจโทรคมนาคมและสื่อ ผ่านการถือหุ้นบริษัทที่ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ดาวเทียมสื่อสาร และบริการด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ จนพัฒนาสู่การเป็นโฮลดิ้งคอมพานีครบวงจรในเวลาต่อมา
ปี 2542 นายทักษิณจัดตั้ง “Ample Rich Investment Ltd.” ที่หมู่เกาะ British Virgin Islands ด้วยทุนจดทะเบียน 50,000 ดอลลาร์ แบ่งเป็น 50,000 หุ้น หุ้นละ 1 ดอลลาร์ แต่เรียกชำระจริงเพียง 1 หุ้น ผู้ถือหุ้นมีเพียงทักษิณ จุดประสงค์หลักคือใช้เป็น “ตัวกลาง” ทำธุรกรรมซื้อขายหุ้นในไทยให้ตระกูลชินวัตร โดยมี เลา วี เตียง และกาญจนา หงส์เหิน เป็นกรรมการในระยะแรก และจดวัตถุประสงค์เพื่อลงทุนในกิจการในประเทศไทย
เพียงไม่กี่เดือนหลังจัดตั้ง ในวันที่ 11 มิถุนายน 2542 นายทักษิณขายหุ้นชินคอร์ปจำนวน 32,920,000 หุ้นให้ Ample Rich ในราคาหุ้นละ 10 บาท ซึ่งตรงกับมูลค่าที่ตราไว้ (PAR) โดยทำผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ช่วงต่อมาปี 2543-2544 เกิดการปรับเปลี่ยนกรรมการและผู้ถือหุ้นของ Ample Rich โดยนายพานทองแท้ ชินวัตรถูกเพิ่มเป็นกรรมการในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2543 และต่อมาในวันที่ 1 ธันวาคม 2543 นายทักษิณได้โอนหุ้น Ample Rich จำนวน 1 หุ้นให้นายพานทองแท้ ทำให้ในชั้นนี้ หุ้นชินคอร์ปจำนวนทั้งหมด 32,920,000 ล้านหุ้น ถูกถือผ่านชื่อของนายพานทองแท้แทน จากเดิมที่ถือโดยนายทักษิณผ่านบริษัทแอมเพิลริช
จากนั้นผ่านมาอีกไม่นาน ความเคลื่อนไหวสำคัญในชินคอร์ปก็เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2544 บริษัทจดทะเบียนลดมูลค่าหุ้นจาก 10 บาท เหลือ 1 บาท ส่งผลให้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นสิบเท่า และทำให้ Ample Rich ถือหุ้นชินคอร์ปเพิ่มเป็น 329,200,000 หุ้น
ต่อมาเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2548 Ample Rich เรียกชำระค่าหุ้นเพิ่มอีก 4 หุ้น พานทองแท้ซื้อเพิ่ม 3 หุ้น ส่วนพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ซื้อ 1 หุ้น และมีการปรับกรรมการเป็นพานทองแท้ พินทองทา และกาญจนา หลังจากนั้น Ample Rich ทำรายการขายหุ้นชินคอร์ปทั้งหมดให้แก่พานทองแท้และพินทองทาในราคาหุ้นละ 1 บาท ผ่านการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของโครงสร้างการถือหุ้นที่นำไปสู่ข้อพิพาทสำคัญในเวลาต่อมา
จุดเปลี่ยนใหญ่เกิดขึ้นวันที่ 23 มกราคม 2549 เมื่อพานทองแท้และพินทองทา ขายหุ้นชินคอร์ปทั้งหมดต่อให้บริษัทในเครือเทมาเส็กของสิงคโปร์ ผ่านตลาดหลักทรัพย์ ที่ราคาหุ้นละ 49.25 บาท การทำธุรกรรมนี้ส่งผลให้กรมสรรพากรเข้าตรวจสอบ โดยเห็นว่าการรับโอนหุ้นในราคาต่ำกว่าตลาดถือเป็น “เงินได้พึงประเมิน” ปี 2549 จึงประเมินภาษีรวมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มกว่า 11,581 ล้านบาท พร้อมอายัดทรัพย์สินบางส่วน เช่น เงินสด 200 ล้านบาท และที่ดิน-หลักทรัพย์รวมกว่า 1,000 ล้านบาท
ในระหว่างนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (คดีหมายเลขแดง อม.1/2553) ชี้ชัดว่าทักษิณยังถือหุ้นชินคอร์ปกว่า 1.419 พันล้านหุ้นโดยให้บุตรถือแทน ส่งผลให้ศาลภาษีอากรกลางเพิกถอนการประเมินภาษีของพานทองแท้และพินทองทาในปี 2553 เนื่องจากไม่ใช่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีที่แท้จริง ทำให้ข้อพิพาทเรื่องภาษีหุ้นชินคอร์ปกลายเป็นประเด็นยืดเยื้อยาวนานหลายสิบปีในเวลาต่อมา
เมื่อถึงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในปี 2560 มีการหยิบคดีภาษีหุ้นชินคอร์ปขึ้นมาพิจารณาใหม่ โดย สตง., ปปง., กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมเพื่อให้คดีไม่หมดอายุความวันที่ 31 มีนาคม 2560 และใช้กลไกตามมาตรา 820-821 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งกำหนดให้ “ตัวการ” ต้องรับผิดแทน “ตัวแทน”
ในที่สุด กรมสรรพากรออกหนังสือประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2549 แก่นายทักษิณโดยตรงเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2560 เป็นเงิน 17,629 ล้านบาท พร้อมเบี้ยปรับ หลังได้รับหนังสือนายทักษิณยื่นฟ้องกรมสรรพากรและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ขอให้เพิกถอนหนังสือประเมิน ศาลภาษีอากรกลางในปี 2565 ชี้ว่าเจ้าพนักงานไม่ออกหมายเรียกตรวจสอบตามมาตรา 19 ทำให้การประเมินไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขณะที่ต่อมา ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษยืนตามคำพิพากษาในปี 2566
แต่ในชั้นฎีกา คำตัดสินได้พลิกอีกครั้งเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยศาลฎีกาวางบรรทัดฐานสำคัญในการพิจารณาเจตนาและ “เนื้อแท้” ของธุรกรรมอย่างละเอียด ผ่านประเด็นหลักสามข้อ ได้แก่
จากเหตุผลทั้งหมดนี้ ศาลฎีกาจึงเห็นว่า กำไรจากการขายหุ้นต้องคำนวณเป็น “เงินได้บุคคลธรรมดา” ตามอัตราภาษีขั้นสูงสุด เช่นเดียวกับการขายทรัพย์สินที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่งผลให้เกิดภาระภาษีจำนวนมาก
ศาลจึงพิพากษากลับให้กรมสรรพากรชนะคดี สามารถเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ปได้เต็มจำนวน คำตัดสินเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 นี้ เป็นบทสรุปขั้นสุดท้ายของคดีภาษีหุ้นชิน ซึ่งลากยาวผ่านหลายรัฐบาล หลายศาล และหลายชั้นกระบวนการยาวนานถึง 20 ปี โดยไม่เหลือช่องทางให้ต่อสู้ทางกฎหมายอีกต่อไป
หลังคำพิพากษาศาลฎีกา กรมสรรพากรมีอำนาจเต็มในการเดินหน้าบังคับคดีเพื่อเรียกเก็บภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มรวมประมาณ 17,600 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดหนี้ตามคำสั่งประเมินที่ถูกยืนยันโดยศาลสูงสุด ขั้นตอนออกหมายบังคับคดีคาดว่าจะใช้เวลาอีกราว 1-2 เดือน เนื่องจากต้องรอให้การรายงานผลและกระบวนการภายในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสร็จสมบูรณ์เสียก่อน
ด้าน นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง อธิบายกระบวนการตามกฎหมายว่า หลังกรมสรรพากรจัดทำรายงานผลการดำเนินการและส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว ทางอัยการจะออกคำสั่งให้เริ่มต้นการสืบทรัพย์ เพื่อให้ข้อมูลครบถ้วนสำหรับการบังคับคดี เมื่อการสืบทรัพย์เสร็จสิ้น กระบวนการจะถูกส่งต่อไปยังกรมบังคับคดี ก่อนจะกลับมาที่กรมสรรพากรเพื่อดำเนินมาตรการบังคับคดีภาษีโดยตรง ซึ่งเป็นอำนาจที่กฎหมายเปิดช่องให้ใช้ได้ทันทีหลังคำพิพากษาถึงที่สุด
กระบวนการหลังจากนี้แบ่งออกเป็น 3 ช่วงใหญ่ ซึ่งแต่ละช่วงมีความหมายต่อการบังคับใช้กฎหมายและการติดตามทรัพย์สินของผู้ถูกประเมินอย่างเป็นระบบ
ช่วงแรกคือการออก “หนังสือแจ้งให้ชำระภาษี” ซึ่งกรมสรรพากรจะระบุยอดหนี้ทั้งหมดตามคำพิพากษา โดยเอกสารดังกล่าวมีผลในฐานะคำสั่งบังคับคดีภายใต้มาตรา 12 และมาตรา 14 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ถูกประเมินจะได้รับเวลาประมาณ 30 วันเพื่อชำระ เมื่อหนังสือฉบับนี้ถูกส่งถึงมือ ความรับผิดจะเริ่มต้นสมบูรณ์ในทันที ถือเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการบังคับคดีอย่างเป็นทางการ และเป็นช่วงที่กฎหมายย้ำให้ผู้เสียภาษีใช้สิทธิทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะตามมาในขั้นต่อไป
ช่วงที่สองจะเริ่มต้นขึ้นหากครบกำหนดเวลาแล้วไม่มีการชำระ หรือไม่มีการยื่นขอผ่อนชำระ กรมสรรพากรมีอำนาจออก “คำบังคับคดีภาษี” ได้โดยไม่ต้องยื่นฟ้องต่อศาล เนื่องจากกฎหมายภาษีให้อำนาจเจ้าพนักงานประเมินสามารถยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ภาษีได้ทันที อำนาจดังกล่าวครอบคลุมทั้งบัญชีเงินฝาก เงินปันผล หุ้น และผลประโยชน์ทางทรัพย์สินอื่น รวมถึงการยึดทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้าน คอนโดมิเนียม ที่ดิน อาคารพาณิชย์ หรือรถยนต์
ทรัพย์สินใดที่อยู่ในราชอาณาจักรสามารถถูกดำเนินการได้โดยไม่มีอุปสรรค ส่วนทรัพย์สินที่อยู่นอกประเทศยังต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐตามกลไกสนธิสัญญาและความตกลงระหว่างประเทศ แต่ในทางปฏิบัติ ทรัพย์สินหลักที่เกี่ยวข้องกับอดีตนายกรัฐมนตรีรายนี้ซึ่งยังตั้งอยู่ในประเทศไทยสามารถเข้าสู่กระบวนการบังคับคดีได้ทั้งหมดตามอำนาจที่กฎหมายกำหนด
ช่วงที่สามคือการ “ติดตามทรัพย์สินจนกว่าจะชำระครบ” ซึ่งเป็นกระบวนการต่อเนื่องยาวนาน หากทรัพย์สินที่ถูกยึด ขายทอดตลาด หรืออายัดไว้ไม่เพียงพอต่อการชำระยอดหนี้ทั้งหมด หนี้ภาษียังคงไม่หมดไป เพราะคำพิพากษาถึงที่สุดได้ยืนยันสถานะหนี้ภาษีอย่างถาวร กรมสรรพากรสามารถติดตามทรัพย์สินใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นในอนาคต ผลประโยชน์หรือรายได้ที่เกิดขึ้นภายหลัง รวมถึงทรัพย์สินที่โอนย้ายมาในภายหลังได้อย่างต่อเนื่องจนกว่าหนี้จะถูกจ่ายครบถ้วนทุกบาท
สำหรับสถานะด้านทรัพย์สิน ข้อมูลจากนิตยสาร Forbes ระบุว่าในปี 2567 ทักษิณยังติดอันดับหนึ่งในสิบมหาเศรษฐีในหมวดธุรกิจการเงินและการลงทุน มีทรัพย์สินสุทธิราว 2,100 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 7.7 หมื่นล้านบาท โครงสร้างทรัพย์สินส่วนใหญ่กระจายอยู่ในต่างประเทศ ทั้งในอังกฤษ ดูไบ แอฟริกาใต้ ธุรกิจเทคโนโลยีสุขภาพ รวมถึงทรัพย์สินที่อยู่ในความดูแลของครอบครัวชินวัตร
หากต้องชำระภาษีจำนวน 17,600 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 24% ของสินทรัพย์สุทธิทั้งหมด นักวิเคราะห์จำนวนมากจึงประเมินว่าเจ้าตัวยังมีศักยภาพเพียงพอในการจัดหาเงินทุนเพื่อชำระหนี้ภาษีในครั้งนี้ได้
อย่างไรก็ตาม สถานะทางคดีอาญาของนายทักษิณยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม ปัจจุบันนายทักษิณยังถูกคุมขังในเรือนจำกลางคลองเปรม และมีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่ได้รับการพักโทษ เนื่องจากยังมีคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 รอการพิจารณา
อัยการสูงสุดได้มีคำสั่งยื่นอุทธรณ์คดีดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทำให้กระบวนการคดียังไม่สิ้นสุด และสถานะกฎหมายของเขายังคงซับซ้อนควบคู่ไปกับการบังคับคดีภาษีครั้งประวัติศาสตร์นี้