วันที่ 1 สิงหาคม 2568 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) พร้อมด้วยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) และสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) แถลงสรุปความคืบหน้าคดีหุ้นบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ “MORE” หนึ่งในคดีอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของตลาดทุนไทย โดยสามารถดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำความผิดได้มากถึง 42 ราย พร้อมยึดและอายัดทรัพย์สินรวมมูลค่าประมาณ 4,500 ล้านบาท ซึ่งศาลมีคำสั่งให้นำไปชดใช้คืนให้บริษัทหลักทรัพย์ผู้เสียหายจำนวน 10 ราย
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวในงานแถลงว่า คดีหุ้น MORE ไม่ใช่เพียงคดีปั่นหุ้นทั่วไป แต่สะท้อนพฤติกรรมใหม่ของอาชญากรรมที่ใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในตลาดทุน ผสานกับเทคโนโลยีการซื้อขายแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ โดยมีความซับซ้อนทั้งในเชิงโครงสร้างและวิธีการ
การดำเนินคดีในลักษณะนี้จึงต้องอาศัยความร่วมมืออย่างเป็นระบบจากหน่วยงานภาครัฐและองค์กรตลาดทุน ซึ่งตลท. รับบทเป็นแกนกลางในการประสานงาน ตั้งแต่การรวบรวมพยานหลักฐาน การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ไปจนถึงการสื่อสารความคืบหน้าให้ผู้เกี่ยวข้องในตลาดทุนได้รับทราบ เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนและประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม
จากบทเรียนของคดีนี้ ตลท. ได้ดำเนินการยกระดับมาตรการกำกับดูแลอย่างเป็นรูปธรรมหลายประการ เช่น การใช้มาตรการ Auto Pause รายหลักทรัพย์, การกำหนด Minimum Resting Time เพื่อชะลอการส่งคำสั่งซื้อขายต่อเนื่อง, การเปิดเผยข้อมูลหลักทรัพย์ที่ใช้เป็นประกันบัญชีมาร์จิ้น และการแจ้งเตือนพฤติกรรมผู้ลงทุนที่มีความเสี่ยงให้แก่บริษัทหลักทรัพย์สมาชิก เพื่อให้สามารถป้องกันเหตุทุจริตได้ล่วงหน้า
ด้าน นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย กล่าวว่า ASCO มีบทบาทสำคัญตั้งแต่เริ่มต้น โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานกำกับเพื่อรวบรวมหลักฐานและร้องทุกข์กล่าวโทษผู้กระทำผิดในนามของโบรกเกอร์ที่ได้รับความเสียหาย
ในระยะยาว ASCO ยังได้พัฒนาโครงสร้างเชิงระบบเพื่อลดโอกาสเกิดเหตุซ้ำ โดยจัดตั้ง Securities Data Exchange Platform (SDEP) สำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลความเสี่ยงของลูกค้าระหว่างบริษัทหลักทรัพย์ในรูปแบบ Decentralized ครอบคลุมทั้งข้อมูลวงเงิน คุณภาพหลักประกัน ประวัติการชำระหนี้ และพฤติกรรมการลงทุน คาดว่าจะสามารถใช้งานจริงได้ภายใน 1 กุมภาพันธ์ 2569
พลตำรวจโท จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวว่า คดีหุ้น MORE เป็นคดีที่ผู้กระทำผิดมีความรู้ลึกเกี่ยวกับระบบซื้อขายหลักทรัพย์ และอาศัยช่องว่างของระบบในการวางแผนฉ้อโกง เป็นการกระทำที่กระทบความเชื่อมั่นในตลาดทุนอย่างรุนแรง บช.ก. ได้ประสานผู้เชี่ยวชาญภายในหน่วยงานและร่วมมือกับ ตลท., ปปง., DSI และ ก.ล.ต. อย่างใกล้ชิด จนนำไปสู่การดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำผิดได้ทั้งหมด 42 ราย และสามารถอายัดทรัพย์สินคืนมาได้ทั้งหมด 4,500 ล้านบาท
นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ ปปง. ย้ำว่า จุดเปลี่ยนสำคัญของคดีนี้คือการนำ inter-agency cooperation model มาใช้ ซึ่งช่วยให้ ปปง. สามารถระงับธุรกรรมต้องสงสัยได้ภายในวันเดียว ลดขั้นตอนจาก 2–3 วันตามปกติ ถือเป็นการตัดวงจรอาชญากรรมทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมยืนยันว่าคำพิพากษาศาลเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีการวินิจฉัยในทุกประเด็น และจะเป็นหลักฐานสำคัญหากมีการอุทธรณ์ในอนาคต
ด้าน พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ อธิบดี DSI ระบุว่า จากการสอบสวนพบว่า ขบวนการนี้มีการแบ่งบทบาทเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
ทั้งสามกลุ่มมีความผิดในสถานะเดียวกัน ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฐานสร้างราคาหลอกลวง), ประมวลกฎหมายอาญา (ฐานฉ้อโกง), พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และข้อหาสมคบเป็นอั้งยี่
DSI ได้ใช้กลไกทางแพ่งของกฎหมายฟอกเงินเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์คืนรัฐ และนำทรัพย์นั้นมาเฉลี่ยคืนให้ผู้เสียหาย พร้อมเดินหน้าดำเนินคดีอาญากับผู้ร่วมกระทำผิดทุกกลุ่ม โดยเน้นย้ำว่า “ผู้กระทำผิดไม่ได้ประโยชน์ใด ๆ จากการทุจริตครั้งนี้ และยังต้องเผชิญโทษอาญาอย่างเต็มรูปแบบ”
กล่าวโดยสรุป กรณีหุ้น MORE ไม่เพียงเป็นคดีใหญ่ในเชิงมูลค่า แต่ยังเป็น “กรณีศึกษา” ที่สะท้อนความจำเป็นของการทำงานแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐในตลาดทุน การออกแบบระบบเตือนภัยล่วงหน้า และการปรับมาตรการกำกับอย่างเท่าทันพฤติกรรมใหม่ของผู้ไม่หวังดี
จากความร่วมมือระหว่าง 5 หน่วยงานรัฐ คดีนี้จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการวางรากฐาน “ภูมิคุ้มกันตลาดทุนไทย” เพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง โปร่งใส และเชื่อถือได้ในระยะยาว