เมื่อวันจันทร์ที่ 13 ธันวาคมที่ผ่านมา มีการเผยแพร่ภาพ พิธีปลุกเสก “สมเด็จคอยน์ - Somdejcoin (SDC)” พระเครื่องยุคใหม่ในรูปแบบของสกุลเงินดิจิทัล โดยผู้ใช้ เฟซบุ๊กชื่อว่า Mana Wannakrachang กลุ่มเฟซบุ๊ก “Somdejcoin (คนรักเหรียญสะสมสมเด็จดิจิตอล)” เรียกเสียงฮือฮาจากทั้งวงการพระเครื่อง และวงการคริปโตเคอร์เรนซี
ในพิธีดังกล่าว ทางทีมพัฒนาสมเด็จคอยน์ได้นำเหรียญสมเด็จคอยน์อันเป็นมงคลนี้ มาขอบารมีจาก “พระราชมงคลวัชราจารย์ (พัฒน์ ปุญฺญกาโม)” ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์และเจ้าอาวาสวัดห้วยด้วน พระเกจิอาจารย์ชื่อดังชาวนครสวรรค์ที่มีอายุกว่า 100 ปี เพื่อให้อธิษฐานจิต ทำพิธีปลุกเสก เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลให้แก่เหรียญสมเด็จคอยน์ล็อตแรก จำนวน 66,186,727 เหรียญ ซึ่งเป็นตัวเลขของจำนวนเท่ากับประชากรไทยในปี 2563
สำหรับเหรียญสมเด็จคอยน์ จัดเป็น DeFi Token ที่ถูกพัฒนาด้วยบล็อกเชนบนระบบ Bincance Smart Chain (BSC) โดยทีมผู้พัฒนา ร่วมกับวัดป่ามหาญาณและมูลนิธิแห่งหนึ่ง มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับความต้องการของคนไทยและคนทั่วโลกที่ต้องการสะสมเหรียญสมเด็จเวอร์ชันดิจิทัลเป็นที่ระลึก และเป็นช่องทางให้ผู้มีกำลังศรัทธาได้ช่วยเหลือสังคม และทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาด้วยการทำธุรกรรมผ่านเหรียญสมเด็จคอยน์
แม้จะมีศักยภาพในการเป็นสินทรัพย์เพื่อการเก็งกำไร แต่จุดประสงค์หลักของทีมพัฒนาเหรียญสมเด็จคอยน์ คือการนำเหรียญมาใช้จ่ายภายในระบบนิเวศของวัดป่ามหาญาณ สามารถนำสมเด็จคอยน์ ใช้ ในการ ซื้อดอกไม้ ธูปเทียน สังฆทาน รวมถึงเช่าบูชาพระเครื่องภายในวัด โดยระบบจะหักภาษี 3% เพื่อนำไปทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และช่วยเหลือสังคมด้วย โดยปัจจุบันวัดที่รับยังเพียง วัดป่ามหาญาณ แต่ในอนาคตจะขยายเป็น 99 วัด ขณะที่ประชาชนชาวไทยสามารถเข้าถึงสมเด็จคอยน์ อย่างน้อยคนละ 1 เหรียญได้ฟรี เพื่อเก็บไว้บูชา และเป็นมรดกให้กับคนรุ่นหลัง ปัจจัยทยอยแจกให้ผู้ศรัทธาแล้วกว่าแสนเหรียญ
โดยเหรียญสมเด็จคอยน์นี้ สามารถนำไป Farming, Staking ได้ตามปกติของ Token ทั่วๆไป ผ่านทาง Pancakeswap ของ Binance Smart Chain และเหรียญสมเด็จคอยน์ สามารถซื้อขายได้แล้วผ่านทางแพล็ตฟอร์ม Arken โดยเริ่มเทรดวันแรกวันที่ 8 พ.ย. 2564 ราคาเปิดการซื้อที่ 0.16 ดอลลาร์ต่อเหรียญ โดย ณ เวลา 17.00 น. วันที่ 16 ธ.ค. 2564 ราคาขึ้นไปอยู่ที่ 2.40 ดอลลาร์ต่อเหรียญ เท่ากับบวก 1,400 % โดยในวันที่มีการปลุกเสก ราคาสมเด็จคอยน์พุ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 3.23 ดอลลาร์ต่อเหรียญ และกำลังจะเปิดให้ซื้อขายผ่านแพลตฟอร์ม HotBit วันที่ 24 ธันวาคมนี้
สำหรับการซื้อขายบนกระดานคริปโตโดยศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลสัญชาติไทย ทางทีมพัฒนากำลังดำเนินการยื่นเอกสารและหารือกับ กลต. และ พศ. เพื่อทำการลิสต์เหรียญ บนกระดานของ สตางค์โปร หรือ Bitkub อย่างถูกต้องตามกฎหมาย คาดว่าจะรู้ผลหรือมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงต้นปี 2565
ขณะที่เป้าหมายของกลุ่มนักพัฒนา ต้องการให้เหรียญ Somdejcoin สามารถลิสต์บนกระดานศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย เช่น สตางค์โปร หรือ Bitkub อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยที่ผ่านมาได้การดำเนินการการประสานงาน ให้ข้อมูล ยื่นเอกสาร และหารือ กับ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (กลต.) มาตลอด เพื่อให้พัฒนาเหรียญ Somdejcoin มีดำเนินการที่ความถูกต้อง และโปร่งใส โดยคาดว่าจะสามารถรู้ผลหรือมีความชัดเจนขึ้นในระยะเวลา 2 เดือน ซึ่งหลังจากทราบผลจะมีการเปิดตัวทีมพัฒนาอย่างเป็นทางการ
อันที่จริง โมเดล “ยิ่งมีแรงศรัทธา มูลค่ายิ่งพุ่งสูง” เป็นสิ่งที่อยู่คู่วงการพระเครื่องมานานแล้ว พระเครื่องรุ่นไหนที่มีคนศรัทธา มีอายุ มีพุทธคุณเป็นที่ยอมรับในวงการ ศิษยานุศิษย์ก็อยากจะหามาบูชาในราคาสูงตามไปด้วย คล้ายกับโมเดลของเหรียญคริปโตที่หากเหรียญไหนมีคุณสมบัติที่ดี ดูมีอนาคต มีคนต้องการมาก ราคาก็จะพุ่งขึ้นสูงด้วย
กระบวนการการเปลี่ยนความศรัทธา ความรัก ความชอบ มาเป็นสิ่งของบนโลกดิจิทัลแบบนี้เรียกว่า “Tokenization” หรือการทำให้บางสิ่งบางอย่างกลายมาเป็นเหรียญโทเคน ซึ่งพบได้ในวงการศิลปิน ดารา นักกีฬา เช่น การออกเหรียญ Fan Token ของสโมสรฟุตบอลต่างๆ
เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา จึงมีทั้ง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้ให้ความเห็นในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความเหมาะสม และความปลอดภัยของผู้ใช้งาน ดังนี้
ความเห็นจากกลต. : สมเด็จคอยน์ ไม่เข้าข่ายเหรียญที่จะต้องได้รับอนุญาตให้เสนอขายจาก กลต. สามารถออกเหรียญแก่ประชาชนได้ แต่หากจะมาซื้อขายบนกระดานจะต้องมาหารือกับกลต. ก่อน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจซื้อขายสมเด็จคอยน์
ความเห็นจาก พศ. : การจัดสร้างเหรียญสมเด็จคอยน์มีลักษณะเช่นเดียวกับการจัดสร้างพระเครื่องทั่วไป ไม่ขัดกับข้อห้าม มอบหมายให้ส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนา คอยตรวจสอบดูว่ามีการนำเหรียญดิจิทัลดังกล่าวไป ใช้ผิดวัตถุประสงค์หรือไม่
สำหรับมุมมองจากแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายเอกลาภ ยิ้มวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง ซิปเม็กซ์ ประเทศไทย มีความเห็นต่อการใช้งานสมเด็จคอยน์เพื่อใช้เป็นช่องทางบริจาคเงินให้แก่วัดว่าออกจะเป็นแนวพุทธพาณิชย์มากเกินไป ยังมีทางเลือกอีกมากมายที่คนสามารถใช้ทำบุญกับวัดได้