สถิตินักท่องเที่ยวไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นในปี 2566 สูงขึ้นกว่า 402% เฉียด 1 ล้านคน เมื่อเทียบกับปี 2565 ด้วยปัจจัยหลังโควิดคลี่คลาย และเงินเยนอ่อนค่า จนทำให้ปี 2566ไทยขาดดุลการท่องเที่ยวให้กับญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก
องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) ระบุว่า เมื่อปี 2566 มีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางเข้าญี่ปุ่นจำนวน 995,500 คน เพิ่มขึ้น 402% เทียบกับปี 2565 แต่ยังน้อยกว่าก่อนโควิดระบาดปี 2562 ที่มีจำนวนกว่า 1,318,977 คน ทำให้ปี 2566 ไทยเที่ยวญี่ป่นมากเป็นอันดับ 6เช่นเดิมจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าญี่ปุ่นทั้งหมด
ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่เที่ยวประเทศไทยอยู่ในอันดับ 10 จำนวน 840,205 คน ทำให้ประเทศไทยขาดดุลการท่องเที่ยวกับญี่ปุ่น โดยคนญี่ปุ่นเคยเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เข้าไทยมากเป็นอันดับ 6 ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาตที่เข้าไทยก่อนโควิดระบาดเมื่อปี 2562 ที่จำนวน 1,787,185 คน
ข้อมูลจากทางการญี่ปุ่นระบุเมื่อพุธที่ 17 ม.ค.2567 ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนญี่ปุ่นในปี 2566 เพิ่มขึ้นมากกว่า 6เท่าเทียบกับปีก่อนอยู่ที่ 25.07 ล้านคน โดยได้รับแรงหนุนมาจากการยกเลิกข้อจำกัดการเดินทางจากโรคโควิด-19 และเงินเยนที่อ่อนค่าลง ทำให้การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ที่ 5.29 ล้านล้านเยน หรือคิดเป็นเงินไทยเฉียด 1.3 ล้านล้านบาท ถือเป็นตัวเลขการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเกิน 5 ล้านล้านเยนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2010 อย่างไรก็ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าญี่ปุ่นในปี 2566 ยังคงต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโรคระบาดในปี 2019 ถึงร้อยละ 21.4 ที่ 31.88 ล้านคน
สำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้าญี่ปุ่นมากที่สุด คือ เกาหลีใต้ที่ 6.96 ล้านคน เพิ่มขึ้นกว่า 6 เท่าจากปี 2565 ตามมาด้วยไต้หวันที่ 4.20 ล้านคน จีนที่ 2.43 ล้านคน ฮ่องกงที่ 2.11 ล้านคน สหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นเป็น 2.05 ล้านคนแม้ว่านักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้จะมากที่สุด แต่นักท่องเที่ยวไต้หวันเป็นกลุ่มที่ใช้จ่ายเงินมากที่สุดอยู่ที่ 778.6 พันล้านเยน คิดเป็นร้อยละ 14.7 ของยอดรวมทั้งหมด รองลงมาคือชาวจีน 759.9 พันล้านเยน และเกาหลีใต้ 744.4 พันล้านเยน
อิชิโระ ทากาฮาชิ กรรมาธิการสำนักงานการท่องเที่ยวญี่ปุ่น ระบุว่า จำนวนวันพักในญี่ปึ่นของนักท่องเที่ยวยาวนานขึ้นกว่าก่อนระบาดโควิด โดยค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวอยู่ที่ ประมาณ 212,000 เยน หรือ 50,880 บาท/คน พบว่า ยอดการใช้จ่ายต่อหัวมากสุดเป็นนักท่องเที่ยวจากยุโรป โดยชาวสเปนใช้จ่ายมากที่สุดอยู่ที่ประมาณ 342,000 เยน หรือ 82,080 บาท รองลงมาคือออสเตรเลียและชาวอิตาลี ส่วนชาวเอเชีย เช่น จีนใช้จ่ายเงินประมาณ 320,000 เยน หรือ 76,800 บาท/คน
แม้ว่าตัวเลขการใช้จ่ายที่สูงเป็นประวัติการณ์ถือเป็นข่าวที่น่ายินดี แต่ญี่ปุ่นกลับประสบปัญหากับนักท่องเที่ยวที่ไม่ค่อยใช้ประโยชน์จากโครงการช้อปปิ้งสินค้าปลอดภาษี เห็นได้จากผลประกอบการของสินค้าดิวตี้ฟรีมีกำไรลดลง ทำให้รัฐบาลกำลังพิจารณายกเครื่องระบบปลอดภาษีเพื่อให้นักท่องเที่ยวจับจ่ายซื้อสินค้าก่อนออกเดินทาง
จะเห็นได้ว่า แม้ในปี 2566 ทั้งไทยและญี่ปุ่นอาจจะไม่ได้มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมที่ดีมากนัก แต่ภาคการท่องเที่ยวก็ยังเป็นตัวช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้บ้าง โดยภาคการท่องเที่ยวของไทยและญี่ปุ่นถือว่ากำลังฟื้นตัวและเริ่มขยับใกล้เคียงกับตัวเลขก่อนโควิดระบาดในปี 2562 แล้ว
ที่มา kyodonews