ข่าวเศรษฐกิจ

หนี้เสียพุ่งแตะ 1.03 ล้านล้านบาท ห่วงหนี้บ้าน-รถ สูง 3.8 แสนล้านบาท 

9 ส.ค. 66
หนี้เสียพุ่งแตะ 1.03 ล้านล้านบาท ห่วงหนี้บ้าน-รถ สูง 3.8 แสนล้านบาท 
ไฮไลท์ Highlight
ไส้ในของหนี้ที่เสียไปแล้วหรือหนี้​ NPL​s ประกอบด้วย​ หนี้กู้ซื้อรถยนต์​เกือบ​ 2แสนล้านบาท​ หนี้กู้ซื้อบ้าน​ ที่อยู่​อาศัย​ 1.8แสนล้านบาท​ หนี้​ Ploan 2.5แสนล้านบาท​ บัตรเครดิต​ 5.6หมื่นล้านบาท​ หนี้เกษตร​ 7.2หมื่นล้านบาท​ เป็นต้น​ ที่น่าสังเกตคือหนี้กู้มาซื้อรถยนต์​นั้นมันเพิ่มขึ้นจากกลางปีที่แล้ว​ มิถุนายน​ 2565​ สูงถึง 18% อันนี้ต้องยอมรับว่ากลิ่นไม่ค่อยดี

สถานการณ์หนี้เสีย หรือ NPL ของประเทศไทยกำลังน่าเป็นห่วง ก่อนหน้านี้ผู้จัดการใหญ่เครดิตบูโร โพสข้อมูล NPL ในสินเชื่อรถยนต์ และ หนี้กลุ่มคน Gen Y , Z  กำลังเป็นหนี้เสียเพิ่มขึ้น  ส่วนข้อมูลล่าสุด เป็นหนี้เสียเดือน มิถุนายน 2566 ที่กลับมาพุ่งทะลุ 1 ล้านล้านบาทอีกครั้ง และยังมีท่าทีว่า หนี้ที่กำลังอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างก็อาจกลายเป็นหนี้เสียในอนาคตเช่นกัน 

นายสุรพล โอภาสเสถียร  ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ให้ข้อมูลล่าสุด พบว่า เดือนมิถุนายน 2566  จากการประมวลผลจากฐานข้อมูล​สถิติที่เอาตัวตนออกไปแล้วของเครดิตบูโร​พบข้อเท็จจริงว่า​หนี้ครัวเรือนไทยทั้งก้อนหลังการปรับปรุงข้อมูล​โดยธปท.​ เรามีตัวเลขอยู่ที่​ 15.96 ล้านล้านบาท​คิดเป็น​ 90.6%ของ​ GDP ที่สะท้อนว่าเศรษฐกิจ​ของเรามีปัญหาในเรื่องนี้ เรามีปัญหาแล้ว  เรามีปัญหาอยู่ เรามีปัญหาต่อ(อีกซักพัก)​  เรายังออกจากกับดักตรงนี้ไม่ได้​ในเวลานี้

โดยในจำนวนตัวเลขหนี้ครัวเรือนไทย​ 13.45ล้านล้านบาท จัดเก็บอยู่ในระบบของเครดิตบูโร​ ครอบคลุม​ 32 ล้านลูกหนี้​ ที่เป็นหนี้กับสถาบันการเงิน​ไทยกว่า​ 135 แห่ง​

หนี้เสียโดยรวมเดือน มิ.ย.66 กลับมาทะลุ 1 ล้านล้านบาทอีกครั้ง 

หนี้เสียไปแล้วรอการแก้ไขในตอนนี้กลับมาแตะระดับ​ 1ล้านล้านบาทอีกครั้งในเดือนมิถุนา​ยน​ 2566​ ที่ระดับ​ 1.03ล้านล้านบาทคิดเป็น​ 7.7% เมื่อไตรมาส​ 1ปี​ 2566​ มันอยู่ที่​ 9.5แสนล้านบาทครับ​ 

หนี้เสีย

คำถามคือมันจะไปต่อหรือไม่​ คำตอบคือมันต้องไปต่อแน่ด้วยสถานการณ์​ทางเศรษฐกิจ​แบบยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และทั่วถึง​ ประกอบกับจะมีการชักคืนมาตรการช่วยเหลือออกตามแผน​ แล้วกลับไปใช้มาตรการ​ตามปกติเดิมมารองรับ​ ตามการคาดการณ์​จะไม่ไหลมาแบบรุนแรง​ แต่มีโอกาสเพิ่มแน่ๆ​

ส่วนหนี้เสียที่เอาไปปรับโครงสร้าง​ เอาไป​ซ่อม​ เพื่อให้กลับมาเป็นหนี้ดี​ จ่ายได้​ ตรงนี้มีจำนวน​ 9.8แสนล้านบาทครับ​ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา​ที่อยู่ที่ระดับ​ 8แสนล้านบาท​ แน่นอนว่ามาจากการเร่งเข้าไปช่วยเหลือ, ช่วยปรับโครงสร้าง​หนี้​ตามมาตรการที่ออกแบบมาโดยธปท.​

ไส้ในของหนี้ที่เสียไปแล้วหรือหนี้​ NPL​s ประกอบด้วย​ หนี้กู้ซื้อรถยนต์​เกือบ​ 2แสนล้านบาท​ หนี้กู้ซื้อบ้าน​ ที่อยู่​อาศัย​ 1.8แสนล้านบาท​ หนี้​ Ploan 2.5แสนล้านบาท​ บัตรเครดิต​ 5.6หมื่นล้านบาท​ หนี้เกษตร​ 7.2หมื่นล้านบาท​ เป็นต้น​ ที่น่าสังเกตคือหนี้กู้มาซื้อรถยนต์​นั้นมันเพิ่มขึ้นจากกลางปีที่แล้ว​ มิถุนายน​ 2565​ สูงถึง 18% อันนี้ต้องยอมรับว่ากลิ่นไม่ค่อยดี

แม้ว่าทุกๆคนกำลังรอกลิ่นแห่งความเจริญงอกงามทางเศรษฐกิจในอนาคตตามที่แต่ละคนวาดหวัง​แต่กลิ่นแห่งความเป็นจริงวันนี้และในระยะอันใกล้มันส่งผ่านตัวเลขออกมาแบบทำให้ไม่สบายใจ​ ไม่สบายเนื้อสบายตัวเอาเสียเลยในเวลานี้

หนี้เสียรหัส 21 จากตอนโควิด สูงขึ้นเป็น 3.7 แสนล้านบาท  

จากหนี้เสีย, หนี้​ NPL​s ทั้งหมด​ 1.03 ล้านล้านบาท​นั้น​ เป็นหนี้เสียรหัส​ 21​ มีจำนวน​ 3.7แสนล้านบาท​ คิดเป็นจำนวนรายลูกหนี้​ 3.4ล้านคน​ ข้อสังเกต​ที่สำคัญคือ​ จากไตรมาสที่​ 1​ปี​ 2566​ หรือเมื่อสามเดือนก่อนตัวเลข​มันอยู่ที่​ 3.1แสนล้านบาท​ การเพิ่มของจำนวนเงินและจำนวนรายทั้งๆที่มีการเร่งปรับโครงสร้าง​หนี้​ตามมาตรการแบบมุ่งเป้าอย่างเต็มกำลัง​ สะท้อนให้​เห็น​ถึงความอ่อนแรงของความสามารถ​ในการชำระหนี้​ของลูกหนี้กลุ่มนี้ที่ชัดเจน​ คำถามคือในระยะเวลาที่เหลือก่อนชักเอามาตรการปรับโครงสร้าง​หนี้​ระยะยาวหรือมาตรการฟ้าส้ม​ออกไปในปลายปี​ ธันวาคม​ 2566นี้​ จะส่งผลให้เกิดความอืด, ความหนืดในการเร่งจัดการหนี้เสียเป็นหนี้ดีตามที่มุ่งหวังหรือไม่​

ผมได้แต่ภาวนาให้ลูกหนี้เกรดดีๆในช่วงก่อนโควิดเหล่านี้ได้มีโอกาสกลับมาเป็นหนี้ดีได้อีกครั้ง​ และหากจะมีมาตรการที่ชัดเจน​ ถูกฝาถูกตัวออกมาสำหรับกลุ่มนี้เพิ่มเติม​ ไม่ตัดออกก็จะเป็นกุศลสำหรับเศรษฐกิจ​ไทยเป็นอย่างยิ่ง​

แนวโน้มไม่เกิด NPL Clift แต่ หนี้เสียบ้าน-รถยนต์ น่าเป็นห่วง 

จากข้อมูลพบว่า หนี้ที่กำลังจะเสีย, หนี้​ SM, หนี้ที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ(Special​ mention loan) หรือหนี้ที่มีการค้างชำระ​ 31-90วันแต่ยังไม่ข้ามเส้นการค้างชำระเกิน​ 90วัน  มีหนี้ที่กำลังจะกลายเป็นหนี้เสีย​ 4.75แสนล้านบาท​ มันลดลงมาจากไตรมาสที่​ 1ของปี​ 2566​ เดือนมีนาคม​ ที่มีอยู่สูง​ 6แสนล้านบาท​ 

อย่างไรก็ตามเมื่อเราเข้าไปดูไส้ในจะพบว่า​ 2แสนล้านบาทเป็นหนี้กู้ซื้อรถยนต์​ 1.3แสนล้านบาทเป็นหนี้กู้ซื้อบ้านในจำนวนนี้​ 9หมื่นล้านบาท เป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินของรัฐ​ ซึ่งก็จะสะท้อนไปที่บ้านราคาไม่แพง​ กลุ่มรายได้ปานกลาง, รายได้น้อย​ นอกจากนี้ยังมีหนี้​ Ploan​ อีก​ 8.6หมื่นล้านบาท​

ตัวเลขหนี้กำลังจะเสียลดลงมาจากไตรมาสที่แล้วที่พุ่งไประดับ​ 6แสนล้านบาทจนผู้คนตกใจและลดลงมาเป็น​ 4.75แสนล้านบาท​ หากและถ้าเราคิดต่อว่าอัตราการไหลไปเป็นหนี้เสียหรือกลายไปเป็น​หนี้​ NPLs แล้วจะพบว่าจากข้อมู​ลที่สื่อมวลชน​สอบถาม​ในวันแถลงข่าว​ของธปท. นั้นพบว่า​ Migration rate ของสินเชื่อบ้านอยู่ที่​ 22%, สินเชื่อรถยนต์​ 12%, สินเชื่อส่วนบุคคล​ 54% และบัตรเครดิต​ 57% อัตราส่วนนี้บอกอะไรกับเราบ้าง​ มันก็เป็นตัวบอกว่า​ หนี้เสียที่จะไหลมาจากหนี้กำลังจะเสียนั้นมันคงจะยังไม่เป็นขนาดถล่มทลาย​ แบบตกหน้าผากัน 

แต่ก็อย่าลืมว่าการค้างชำระในส่วนของหนี้ที่มีหลักประกัน​เช่นรถยนต์, บ้านที่อยู่​อาศัย​นั้น​ เป็นอะไรที่ไม่น่าจะสบายใจนัก ประกอบกับเรายังมีเรื่องของค่าครองชีพ, ค่าไฟฟ้า​ ค่าน้ำมัน​เชื้อเพลิง​อีกส่วนหนึ่งที่ค่อยๆเพิ่มขึ้น​ แรงกดดันจากค่าใช้จ่ายตรงนี้มันจะมาเบียดรายได้ที่ไม่ค่อยจะแน่นอน​ มั่นคง​ เพียงพอที่จะรองรับการเอาไปชำระหนี้ในแต่ละเดือนได้ให้ไม่เกิดการค้างชำระได้ขนาดไหน​

ผมนำตัวเลขนี้มาเสนอเพื่อให้ท่านที่สนใจได้ตระหนัก​ อย่าตื่นตระหนก​ แต่ต้องคิดให้ตก​ คิดให้ออก​ คิดให้ได้ว่า​ ถ้าเราเป็นลูกหนี้ที่เลี้ยงงวดการจ่ายหนี้เดือนชนเดือนแล้ว​ เราควรรีบเข้าไปขอคำปรึกษา​ ทางด่วนแก้หนี้​ คลีนิคแก้หนี้​ หรือโทร​ 1213​ เพื่อขอความช่วยเหลือ​ได้แล้วหรือยังในตอนนี้นะครับ #มองความจริงอย่างที่เป็น​ อย่ามองตัวเลขอย่างที่อยากจะให้มันเป็น

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT