ข่าวเศรษฐกิจ

เม็ดเงินลงทุนก่อสร้างปีนี้หดตัว1-2%จากไม่แน่นอนทางการเมือง คาดหดตัวลง

13 พ.ค. 66
เม็ดเงินลงทุนก่อสร้างปีนี้หดตัว1-2%จากไม่แน่นอนทางการเมือง คาดหดตัวลง
ไฮไลท์ Highlight
  • คาดมูลค่าการลงทุนก่อสร้างรวม ปี 2566 ที่ราว 1.34 ล้านล้านบาท หดตัว 1.0% -2.0% 
  • เม็ดเงินลงทุนก่อสร้างภาครัฐหดตัว จากความไม่แน่นอนทางการเมือง 
  • การลงทุนภาคเอกชนคาดทรงตัว ฃ
  • มีโครงการก่อสร้างในต่างจังหวัด รองรับการท่องเที่ยวฟื้นตัว

ภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมา มีแนวโน้มสดใสฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการท่องเที่ยวจากตัวเลขนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ พุ่งหลายเท่าตัว

แต่ในแง่การลงทุนเม็ดเงินที่จะลงสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างแท้จริง โดยเฉพาะเม็ดเงินจากโครงการลงทุนก่อสร้าง ส่อแววที่จะหดตัวเสียแล้ว เมื่อไทยอยู่ในช่วงการเลือกตั้ง ความไม่แน่นอนทางการเมืองกลับเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เม็ดเงินลงทุนสำหรับโครการก่อสร้างหดตัวลงได้

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าการลงทุนก่อสร้างรวม ที่รวมทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนนั้น ปี 2566 นี้ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.34 ล้านล้านบาท หดตัว 1.0-2.0% 

สาเหตุหลักมาจากคาดว่า เม็ดเงินลงทุนก่อสร้างภาครัฐจะหดตัว เพราะเป็นช่วงการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลที่อาจทำให้การเบิกจ่ายและการเดินหน้าโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของภาครัฐมีความล่าช้า หรือถูกเลื่อนออก ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ทันภายในปีนี้ 

ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว จากแรงหนุนจากการก่อสร้างโครงการเชิงพาณิชย์ในจังหวัดสำคัญๆ เพื่อรองรับการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว

สำหรับความไม่แน่นอนทางการเมืองนั้น ทั้งช่วงเวลาที่จะจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งสำคัญไปจากเดิม จะกระทบต่อการพิจารณางบประมาณประจำปี 2567 ส่งผลให้การเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนของภาครัฐตามงบประมาณประจำปี 2567 เลื่อนออกไป หรือไม่สามารถเริ่มเบิกจ่ายได้ทันภายในปีนี้ จากที่ปกติจะเริ่มเดือนตุลาคมของทุกปี 

โดยเฉพาะงบประมาณของหน่วยงานภาครัฐที่มีการลงทุนก่อสร้างต่างๆ  เช่น กระทรวงคมนาคม :  โครงการโครงสร้างพื้นฐานกระทรวงมหาดไทย : โครงการรายจังหวัด ภูมิภาค ถึงแม้ว่าโครงการบางส่วนและโครงการที่เป็นงานผูกพันอาจใช้งบประมาณประจำปี 2566 ไปก่อนได้ก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ในส่วน 3 เดือนแรกของปี 2566 (ม.ค.-มี.ค.) จะมีการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนภายใต้งบประมาณปี 2566 เพิ่มขึ้นประมาณ 20% ทั้งจากงบประมาณรายจ่ายลงทุนที่เพิ่มขึ้น และการเร่งรัดเบิกจ่ายในช่วงสุดท้ายก่อนการยุบสภาฯ จะยังเป็นแรงหนุนมูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาครัฐในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ให้ขยายตัวได้ 

แต่ขณะที่ตั้งแต่ช่วง เม.ย.2566 จนถึงกำหนดจัดตั้งรัฐบาลใหม่ตามแผนเบื้องต้น คือ ก.ค.-ส.ค. 2566 หรือจนกว่าจะมีการจัดตั้งสภาฯ ได้นั้น การเดินหน้าโครงการก่อสร้างที่เกี่ยวพันกับการเบิกจ่ายงบของภาครัฐ ถึงแม้จะมีงบประมาณปี 2566 อยู่แล้วก็ตามในบางส่วนหรือในบางโครงการ ก็อาจจะมีความล่าช้าได้บ้างกว่าภาวะปกติ 

นอกจากนี้ คงต้องติดตามผลคะแนนการเลือกตั้งว่า แกนนำรัฐบาลจะสามารถรวบรวมเสียง ทั้งในสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะส่งผลต่อการพิจารณางบประมาณ ปี 2567 ตลอดจนการผ่านกฎหมายสำคัญๆ ที่อาจทำให้การเบิกจ่ายในช่วงที่เหลือของปีล่าช้ากว่าปกติได้ และอาจมีการทบทวนโครงการก่อสร้างภาครัฐตามการจัดสรรงบประมาณใหม่ 

ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงประเมินว่า มูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาครัฐน่าจะหดตัว 2.5-3.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งบางปีที่มีการเลือกตั้งในอดีต เช่น ปี 2554 มูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาครัฐก็หดตัวเช่นกัน

ขณะที่เม็ดเงินลงทุนก่อสร้างจากเอกชนปี 2566 คาดว่ายังมีการลงทุนก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ ทั้งโครงการ Mixed-use และการฟื้นฟูกิจการโรงแรมและค้าปลีก เพื่อรองรับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในจังหวัดสำคัญๆ 

แม้ว่าการก่อสร้างโครงการที่พักอาศัยอาจยังให้เห็นภาพความระมัดระวัง ท่ามกลางสภาพตลาดที่ยังมีความกังวลในเรื่องของกำลังซื้อและอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ขณะที่การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในรูปแบบ Public-Private Partnership (PPP) ที่ดำเนินการต่อเนื่องตามสัญญาที่ได้ผูกพันไว้แล้ว บางส่วนน่าจะเดินหน้าก่อสร้างต่อได้ แต่บางส่วนอาจมีความล่าช้าหรือต้องหยุดโครงการชั่วคราว ตลอดจนโครงการใหม่ๆ ที่ต้องรอการพิจารณาของภาครัฐก็อาจไม่สามารถดำเนินการได้ทันภายในปีนี้ ทำให้มูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาคเอกชนอยู่ในเกณฑ์ทรงตัวที่ 0.0% - 1.0% 

สำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้างคาดว่า จะได้รับผลกระทบจากมูลค่าการลงทุนก่อสร้างรวมที่อาจหดตัว
ในระดับที่แตกต่างกัน และยังมีแรงกดดันด้านต้นทุน ทั้งราคาวัสดุก่อสร้างที่อยู่ในระดับสูงและแนวโน้มค่าแรงขั้นต่ำที่อาจปรับสูงขึ้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า  รายได้ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในปีนี้ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับงานภาครัฐใหม่ และโครงการตามงบประมาณประจำปี จะได้รับผลกระทบจากมูลค่าการลงทุนก่อสร้างรวมที่คาดว่าจะหดตัว 

ในระยะข้างหน้า แม้ว่าผู้ประกอบการจะยังมีงานในมือคงเหลือ (Backlog) แต่ก็ยังต้องติดตามประเด็นการเมืองและนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะมีผลต่อการเดินหน้าโครงการก่อสร้างตามแผน ซึ่งอาจมีเงื่อนไขในรายละเอียดที่แตกต่างกันไป ซึ่งผู้ประกอบการเองก็ยังคงได้รับแรงกดดันด้านต้นทุน ทั้งราคาวัสดุก่อสร้างและนโยบายค่าแรงขั้นต่ำที่มีสัดส่วนรวมกันมากกว่าครึ่งหนึ่งของต้นทุนรวม 

โดยยังมีประเด็นที่ต้องติดตาม ดังนี้

  1. ราคาวัสดุก่อสร้างในปี 2566 โดยเฉพาะเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก คาดว่าจะยังยืนตัวสูงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 เป็นผลหลักจากต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบที่ยังยืนสูง ตลอดจนต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในการปรับตัวสู่อุตสาหกรรมสีเขียวตามเทรนด์ความยั่งยืน รวมถึง ยังต้องติดตามการกลับมาของเศรษฐกิจจีนที่อาจหนุนให้ราคาวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้นได้ 

ขณะที่ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างในประเทศ 4 เดือนแรกของปี 2566 เพิ่มขึ้น 1.3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีมีปัจจัยทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างที่แม้ว่าจะยังยืนในระดับสูง แต่จะปรับตัวลดลงจากปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นราคาพลังงานที่น่าจะอ่อนตัวลงจากปีที่แล้ว และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่ทำให้อุปสงค์ในตลาดโลกยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ 

ส่วนสินค้าเหล็กก็มีประเด็นการทบทวนความจำเป็นในการบังคับใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping: AD) ของเหล็กแผ่นรีดร้อนจากจีน มาเลเซีย บราซิล อิหร่าน และตุรกีและเหล็กแผ่นรีดเย็นจากจีน เกาหลีใต้ และไต้หวัน ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงพาณิชย์และกำหนดแล้วเสร็จภายใน 1 ปี หลังวันที่มีผลบังคับใช้สิ้นสุดลง หากมีการยกเลิกมาตรการ AD น่าจะส่งผลให้ราคานำเข้าเหล็กย่อลง และกระทบต่อการแข่งขันของผู้ผลิตในประเทศ

    2. ค่าแรงขั้นต่ำเป็นประเด็นที่กระทบต่อการจัดการต้นทุนของธุรกิจก่อสร้างค่อนข้างมาก เพราะแรงงานส่วนใหญ่ ในภาคก่อสร้างเป็นกลุ่มแรงงานค่าจ้างขั้นต่ำ ค่าจ้างรายวัน ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากแนวโน้มค่าแรงขั้นต่ำที่อาจสูงขึ้นตามค่าครองชีพและนโยบายค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลใหม่ 

อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำตามนโยบายน่าจะเป็นการทยอยปรับอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยยังต้องพิจารณาต้นทุนอื่นๆ ของธุรกิจ ช่วงเวลาและอัตราการปรับขึ้นประกอบด้วย

เมื่อต้นทุนการก่อสร้าง 2 ปัจจัยข้างต้นที่ยังอยู่ในระดับสูง และต้นทุนทางการเงินที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเช่นกันนั้น จะกระทบต่อการเสนอราคาโครงการก่อสร้างในอนาคตที่ผู้ประกอบการต้องพิจารณาความเสี่ยงและความคุ้มค่าในการลงทุน ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างบางส่วนที่สัญญาอาจไม่ครอบคลุมต้นทุนส่วนเพิ่ม ผู้ประกอบการก็ต้องแบกรับภาระต้นทุนในส่วนนี้ ซึ่งจะกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรและความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจในระยะข้างหน้า

ถือว่าปีนี้คงไม่ใช่ปีที่ง่ายสำหรับการลงทุนก่อสร้างของทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งตัวเลขการลงทุนที่แท้จริงจะเป็นเช่นไรนั้น ระยะสั้นเราคงต้องติดตามสถานการณ์การเมืองไทยที่กำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจาก พรุ่งนี้อย่าลืมไปเลือกตั้งกัน

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT