ข่าวเศรษฐกิจ

คลังคาด GDP ปี 66 โต 3.8% ดีกว่าปีก่อน ภาคท่องเที่ยวกอบกู้เศรษฐกิจไทย

27 ม.ค. 66
คลังคาด GDP ปี 66 โต 3.8%  ดีกว่าปีก่อน ภาคท่องเที่ยวกอบกู้เศรษฐกิจไทย

กระทรวงการคลัง คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 66 จะขยายตัวได้ 3.8% เพิ่มขึ้นจาก 3% ในปี 65 โดยได้ปัจจัยหนุนจากภาคการท่องเที่ยวและอุปสงค์ในประเทศฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่วนอัตราเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวและจะเข้าสู่กรอบเป้าหมาย ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะกลับมาเกินดุล 3,100 ล้านดอลลาร์ จับตาแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้า ความผันผวนในตลาดการเงินโลก รวมทั้งปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ระบุว่า เศรษฐกิจในปี 66 คาดว่าจะขยายตัวในช่วง 3.3-4.3% (ค่ากลาง 3.8%) ได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและอุปสงค์ภายในประเทศ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวเอเชียที่จะเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น คาดว่าทั้งปีจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามา 27.5 ล้านคน พุ่งขึ้น 147% จากปีก่อน ส่งผลให้รายได้จากภาคการท่องเที่ยวทำได้ถึง 1.2 ล้านล้านบาท

ส่วนการบริโภคภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัว 3.5% ตามรายได้ภาคประชาชนที่เพิ่มขึ้น โดยบทบาทของนโยบายการคลังจะยังมีส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง และช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในทุกภาคส่วนให้เป็นไปอย่างทั่วถึง ขณะที่การลงทุนภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัว 3.6% จากความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจภายในประเทศที่เริ่มกลับมาดีขึ้น

ด้านการส่งออกในรูปดอลลาร์สหรัฐ คาดว่าจะยังขยายตัวได้ราว 0.4% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไป คาดว่าจะอยู่ที่ 2.8% (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.3-3.3%) ปรับเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 1-3% เนื่องจากราคาพลังงานโลกลดลง ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะกลับมาเกินดุลได้ 3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 0.5% ของ GDP

ปัจจัยต่อเศรษฐกิจไทยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ด้านปัจจัยสนับสนุน อาทิ ภาคการท่องเที่ยวมีโอกาสฟื้นตัวได้มากกว่าคาด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนหลังเปิดประเทศและผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทาง

ด้านปัจจัยเสี่ยง อาทิ 1.ทิศทางเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และความผันผวนของตลาดการเงินโลก จากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของประเทศคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะสหรัฐและสหภาพยุโรป 2.ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์โลก ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงระหว่างประเทศ และปัจจัยการผลิตต่าง ๆ และ 3.การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19

 

GDP ไทย2566

สมมติฐานสำคัญที่นำมาพิจารณาในประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 66 ดังนี้

  1.  แนวโน้มเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ 15 ประเทศในปี 66 คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.7% ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง แต่เป็นอัตราชะลอลงจากปี 65 ที่ขยายตัว 3% จากผลของนโยบายการเงินของหลายประเทศที่เข้มงวดมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่เชื่อว่าผลกระทบจะไม่รุนแรงมาก เนื่องจากได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยวและการบริโภคของหลายประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น
  2. เงินบาทเฉลี่ยทั้งปี 32.50 บาท/ดอลลาร์ ทิศทางแข็งค่าเนื่องจากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่องจากปีก่อน ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐยังมีทิศทางอ่อนค่า หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มชะลอการขึ้นดอกเบี้ยหลังอัตราเงินเฟ้อเริ่มเข้าใกล้ระดับเป้าหมาย อย่างไรก็ดี แนวโน้มเงินทุนไหลเข้าในตลาดพันธบัตรของไทยที่ยังมีอยู่ต่อเนื่องเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เงินบาทปีนี้ยังแข็งค่า
  3. ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ย 85 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 11% จากปี 65 แต่ยังต้องจับตาความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งจะมีผลให้เกิดวิกฤตพลังงานและทำให้ราคาน้ำมันอาจสูงขึ้นได้
  4. จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 27.5 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นจากปี 65 ถึง 147% ส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาท คาดว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 43,406 บาท/คน/ทริป
  5. รายจ่ายภาคสาธารณะ โดยงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ที่ 3.2 ล้านล้านบาทนั้น คาดว่าจะมีการเบิกจ่าย 3 ล้านล้านบาท คิดเป็นอัตรา 93.8%

โฆษกกระทรวงการคลัง ยังกล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 65 ว่า ขยายตัวได้ 3.0% ซึ่งการผ่อนปรนมาตรการการเดินทางของประเทศต่าง ๆ ประกอบกับ สถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศที่ปรับดีขึ้น ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวทั้งต่างชาติและภายในประเทศ ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 11.2 ล้านคน สร้างรายได้ 3.6 แสนล้านบาท ด้านมูลค่าการส่งออก ขยายตัว 5.3% การนำเข้า ขยายตัว 15.0% ดุลบัญชีเดินสะพัด ขาดดุล 19.8 พันล้านดอลลาร์ ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 6.1%

ดัชนีเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจทุกภูมิภาคสดใสรับแรงหนุนท่องเที่ยว

นายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการกองนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนม.ค.66 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจเกือบทุกภูมิภาค กล่าวคือ ภาคตะวันออก, ภาคใต้, ภาคกลาง, กรุงเทพฯ และปริมณฑล ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ

ภาคตะวันออก

ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ อยู่ที่ระดับ 83.1 ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า และอยู่ในระดับสูงที่สุดในรอบ 51 เดือน แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้น โดยเป็นความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นในภาคบริการ เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ภาคใต้

ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ อยู่ที่ระดับ 82.9 ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า และอยู่ในระดับสูงที่สุดในรอบ 66 เดือน แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้น โดยเป็นความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นในภาคบริการ เนื่องจากมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการมีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น และความเชื่อมั่นเศรษฐกิจภาคการลงทุนในอนาคตที่ดีขึ้น เนื่องจากผลประกอบการที่ดีขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการมีแนวโน้มลงทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการกลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยวและกลุ่มก่อสร้าง

ภาคตะวันตก

ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ อยู่ที่ระดับ 80.5 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในภาคบริการ เนื่องจากคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจากทั้งในประเทศและต่างประเทศจะเพิ่มขึ้น

ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ อยู่ที่ระดับ 74.3 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในภาคบริการ เนื่องจากมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกทั้งยังมีการจัดงานประเพณีประจำท้องถิ่นในบางพื้นที่ร่วมด้วย และในภาคการลงทุน เนื่องจากผู้ประกอบการภาคบริการมีแนวโน้มจะขยายธุรกิจของตนเพิ่มขึ้น

ภาคกลาง

ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ อยู่ที่ระดับ 72.4 ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ดีขึ้นโดยเฉพาะในภาคบริการ เนื่องจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น และในภาคการจ้างงาน เนื่องจากคาดว่าผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมและบริการในพื้นที่จะจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น จากผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้น

ภาคเหนือ

ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ อยู่ที่ระดับ 71.9 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในภาคบริการ เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีน และความเชื่อมั่นเศรษฐกิจภาคการลงทุนในอนาคตที่ดีขึ้น เนื่องจากคาดว่าผู้ประกอบการภาคบริการในพื้นที่มีแนวโน้มจะขยายธุรกิจของตน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

กทม. และปริมณฑล

ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ อยู่ที่ระดับ 59.6 ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้น โดยเป็นความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นในภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมของประชาชนในพื้นที่เพิ่มขึ้น และในภาคบริการจากจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น

 

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT