หลายๆ คนอาจจะพอรู้มาบ้างว่า สาเหตุที่ค่าไฟของเราปรับขึ้นมาตั้งแต่ช่วงกลางปีนี้ เป็นเพราะก๊าซ LNG (Liquified Natural Gas) ซึ่งจำเป็นต่อการผลิตไฟฟ้ามีราคาแพงขึ้น ทั้งผลผลิตที่ลดลง และเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น
แต่แท้จริงแล้ว อีกสาเหตุสำคัญที่ดันราคาให้สูงขึ้นก็คือ “บรรดาชาติยุโรปกำลังเข้ามาแย่งซื้อก๊าซ LNG ในราคาที่แพงขึ้น”
จากรายงานของ Bloomberg ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในปากีสถาน อินเดีย ฟิลิปปินส์ บังคลาเทศ รวมไปถึง “ประเทศไทย” อาจต้องเจอค่าไฟแพง หรือขาดแคลนไฟฟ้าใช้ระยะยาว เพราะชาติยุโรปเข้ามา “กว้านซื้อ” LNG จากผู้ขายแบบตลาดจร (Spot Suppliers) โดยซื้อแข่งด้วยราคาที่สูงกว่า จนประเทศเหล่านี้ไม่สามารถสู้ราคาได้
การกว้านซื้อครั้งนี้เป็นเพราะยุโรปต้องการตุนพลังงานให้ประชาชนใช้ในหน้าหนาว โดย Bloomberg รายงานว่า ผู้ขายหลายรายตัดสินใจไม่ต่อสัญญาขายก๊าซ LNG ระยะยาวกับประเทศในเอเชีย และหันมาส่งก๊าซให้ประเทศยุโรปแทน ทำให้ชาติเอเชียเสี่ยงจากแคลนไฟฟ้าระยะยาวหลายปี
ชาติเอเชียเตรียมเจอค่าไฟแพง ไม่มีไฟฟ้าใช้ในระยะยาว
ถึงแม้ประเทศในเอเชียจะไม่เจอปัญหามากนักหากไม่มีมีพลังงานใช้ในหน้าหนาวที่จะถึง แต่แนวโน้มราคาก๊าซ LNG ที่น่าจะสูงขึ้นจากการมีชาติร่ำรวยจากยุโรปมาแข่ง ทำให้ประเทศในเอเชียเสี่ยงที่จะต้องจ่ายค่าไฟในอัตราที่แพงขึ้น และอาจถึงขั้น “ต้องแบ่งสรรปันส่วนไฟฟ้ากันใช้” โดยอาจต้องลดกิจกรรมในบางอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานสูง หรือแม้แต้ปิดร้านสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมงที่ใช้ไฟฟ้ามาก
สถานการณ์การซื้อขายก๊าซที่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศในเอเชีย มีแตกต่างกันไป อาทิ
- ‘ปากีสถาน’ ไม่สามารถปีดดีลส่งก๊าซ LNG ระยะยาว 6 ปีกับผู้ขายรายหนึ่งได้
- ‘อินเดีย’ ก็ปิดดีลซื้อ LNG ที่จะเริ่มส่งในปี 2025 ไม่สำเร็จ
- ‘ประเทศไทย’ และ’บังคลาเทศ’ เลือกไม่ลงสนามไปเสนอราคาแข่งเพื่อซื้อ LNG ที่จะเริ่มส่งในปี 2026 จากผู้ส่งออกคือ ‘กาตาร์’ และ ‘สหรัฐอเมริกา’ เลยเพราะสู้ราคาไม่ไหว
นี่หมายความว่า ถึงแม้ในตอนนี้เราอาจจะยังมีก๊าซ LNG ใช้ แต่ในระยะยาวอีก 3-4 ปีข้างหน้า ประเทศเอเชียเหล่านี้อาจจะไม่สามารถหาก๊าซ LNG มาป้อนความต้องการภายในประเทศได้มากเพียงพอ
Raghav Mathur นักวิเคราะห์จาก Wood Mackenzie บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาด้านพลังงาน กล่าวว่า ผู้ขาย โดยเฉพาะ Spot Suppliers ที่ทำสัญญาขายส่งก๊าซในระยะสั้นไม่จำเป็นต้องสนใจตลาดที่มีกำลังซื้อต่ำ และถึงแม้จะมีการทำสัญญาระยะยาวกับประเทศยากจนไว้ ผู้ขายก็อาจเลือกที่จะผิดสัญญาได้ เพราะกำไรที่จะได้จากการขายก๊าซให้ประเทศร่ำรวยนั้น มากพอที่จะนำมาหักลบกลบค่าปรับที่จะต้องจ่ายประเทศยากจนได้หมด
นอกจากนี้ อีกสาเหตุที่ทำให้ประเทศในเอเชียไม่สามารถซื้อ LNG มาได้ เป็นเพราะผู้ขายมองว่าประเทศเหล่านี้มีโอกาสที่จะ “เบี้ยวหนี้” ไม่สามารถหาเงินมาจ่ายค่าก๊าซตามสัญญาที่ตกลงซื้อขายกันเอาไว้ได้ เพราะหลายประเทศกำลังเจอปัญหา “ค่าเงินตกต่ำ” จนทำให้ต้องแบกรับต้นทุนนำเข้าก๊าซที่แพงขึ้นมากจากปัจจัยเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน เพราะปกติแล้ว ตลาดพลังงานจะซื้อขายก๊าซและน้ำมันกันในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ แต่การที่ค่าเงินท้องถิ่นอ่อนค่าลง ทำให้ต้องแลกเงินซื้อก๊าซแพงขึ้น มิหนำซ้ำค่าเงินที่อ่อนค่าลงยังทำให้ปริมาณทุนสำรองระหว่างประเทศของทุกประเทศลดลงกันอย่างถ้วนหน้าอีกด้วย
โดยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทุนสำรองระหว่างประเทศของปากีสถานลดลงไปอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี ในขณะที่ทุนสำรองของบังคลาเทศ อินเดีย และฟิลิฟปินส์ตกไปอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี
ส่วน ‘ประเทศไทย’ เองก็อยู่ในสภาวะเลวร้ายไม่แพ้กัน เพราะปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยตกไปอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี จากภาวะบาทอ่อน นอกจากนี้ยังเจอภาวะเงินเฟ้อที่หนักที่สุดในรอบ 14 ปี ทำให้ทั้งการนำเข้าก๊าซ LNG และค่าไฟมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างมากในอนาคต
ชาติเอเชียอาจหันไปพึ่งรัสเซีย หรือเลือกใช้พลังงานสกปรก
อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ก็ใช่ว่าจะไร้ทางออกเสียทีเดียว เพราะในเมื่อไปแข่งราคากับประเทศยุโรปไม่ได้ ชาติเอเชียก็อาจหันมาพึ่งผู้ขายเก่าของยุโรปอย่าง ‘รัสเซีย’ ได้ หรืออาจไปใช้พลังงานอย่างอื่นเช่น ถ่านหิน และน้ำมัน มากขึ้น ถึงแม้จะปล่อยคาร์บอนมากกว่า LNG หลายเท่าก็ตาม
โดยล่าสุดจากการรายงานของ Bloomberg บางประเทศเช่น ปากีสถาน ก็เริ่มเข้าไปพูดคุยเพื่อขอซื้อก๊าซ LNG จากรัสเซียบ้างแล้ว
ราคาพลังงานที่แพงขึ้นยังทำให้แม้แต่ชาติร่ำรวยบางประเทศอย่าง ‘จีน’ หันไปนำเข้า LNG ราคาถูกจากรัสเซีย โดยอัตราการนำเข้า LNG จากรัสเซียของจีน เพิ่มขึ้นถึง 25% ในปีนี้
ปัจจุบัน ไทยได้ LNG มาจาก 2 แหล่งด้วยกันคือ แหล่งเอราวัณในอ่าวไทยที่ผลิตก๊าซ LNG ประมาณ 25% ให้ประเทศ และ แหล่งก๊าซ LNG จากต่างประเทศ คือ เมียนมาร์ กาตาร์ อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย
โดยปัจจุบันไทยต้องนำเข้าก๊าซ LNG เพิ่มขึ้นเพราะสัญญาสัมปทานของแหล่งเอราวัณกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ทำให้กำลังการผลิตก๊าซลดลงไปที่เพียง 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จากปกติ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
ที่มา: Bloomberg, Reuters