ข่าวเศรษฐกิจ

คนไทยวางแผนเที่ยวปีใหม่แล้ว เชียงใหม่ เชียงราย น่าน เส้นทางยอดฮิต

31 ต.ค. 65
คนไทยวางแผนเที่ยวปีใหม่แล้ว เชียงใหม่ เชียงราย น่าน เส้นทางยอดฮิต

หลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย และรัฐบาลประกาศให้โควิด 19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังประชาชนสามารถเดินทางไปเที่ยวใช้ชีวิตได้ตามปกติหลายฝ่ายมองว่าการเปิดประเทศและการกระตุ้นเรื่องท่องเที่ยวในช่วงปลายปีน่าจะเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้บรรยากาศในประเทศกลับมาคึกคัก เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้

เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของประชาชน “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,148 คน (สำรวจทางออนไลน์) ระหว่างวันที่ 23-28 ต.ค.65 สรุปผลได้ ดังนี้

1.หลังจากประกาศยกเลิกโควิด-19 จากโรคติดต่ออันตรายเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ประชาชนคิดว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยในช่วงสิ้นปีนี้จะเป็นอย่างไร

ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา 79.88%

เหมือนเดิม 17.94%

แย่ลงกว่าปีที่ผ่านมา 2.18%

2.ในช่วงสิ้นปี-ปีใหม่ประชาชนคิดว่าจังหวัดใดน่าท่องเที่ยวมากที่สุด

อันดับ 1 เชียงใหม่ 38.85%

อันดับ 2 เชียงราย 19.30%

อันดับ 3 น่าน 15.79%

อันดับ 4 ภูเก็ต 13.28%

อันดับ 5 ประจวบคีรีขันธ์ 12.78

3.ประชาชนสนใจการท่องเที่ยวแบบใด

อันดับ 1 เน้นการพักผ่อน พักโรงแรมที่สวยงาม สะดวกสบาย 55.62%

อันดับ 2 ไปทะเล ชายหาด 51.41%

อันดับ 3 เที่ยววัด ทำบุญ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ 45.43%

4.ปัจจัยใดที่จะทำให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น

อันดับ 1 ค่าใช้จ่ายเหมาะสม คุ้มค่า 71.65%

อันดับ 2 ความสะดวกในการเดินทาง 68.50%

อันดับ 3 มีโปรโมชั่น ส่วนลดต่างๆ เช่น ค่าที่พัก ค่าเดินทาง ค่าอาหาร เป็นต้น 46.98%

5.หลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย รัฐบาลควรเร่งดำเนินการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างไร

อันดับ 1 กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ กระตุ้นการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและจากต่างประเทศ 60.16%

อันดับ 2 ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองหลักและเมืองรอง 57.34%

อันดับ 3 เปิดตลาดการท่องเที่ยวใหม่ๆ มีเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ๆ 56.29%

6.ประชาชนมีการวางแผนเดินทางท่องเที่ยวในช่วงปลายปีนี้หรือไม่

อันดับ 1 มี 54.01%

อันดับ 2 ยังไม่แน่ใจ 32.49%

อันดับ 3 ไม่มี 13.50%


7.กรณีที่ประชาชนมีการวางแผนเดินทางท่องเที่ยวในช่วงปลายปีนี้ เป็นการท่องเที่ยวแบบใด ค่าใช้จ่ายประมาณกี่บาท

อันดับ 1 เที่ยวในประเทศ (คาดการณ์ใช้จ่ายต่อทริปเฉลี่ยประมาณ 11,977 บาท) 87.58%

อันดับ 2 เที่ยวต่างประเทศ (คาดการณ์ใช้จ่ายต่อทริปเฉลี่ยประมาณ 75,900 บาท) 12.42%

เปิด 5 จังหวัดน่าเที่ยวสิ้นปีนี้ - เชียงใหม่อันดับหนึ่ง

 สวนดุสิตโพล

นางสาวพรพรรณ บัวทอง นักวิจัย สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า “การฟื้นประเทศด้วยท่องเที่ยว” เริ่มเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นจากสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยที่เริ่มกลับมาครึกครื้น จะเห็นได้จากผลสำรวจที่ประชาชนมองว่าการท่องเที่ยวไทยในสิ้นปีนี้น่าจะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ยิ่งไปกว่านั้นกลุ่มตัวอย่างเกินครึ่งได้มีแผนเดินทางท่องเที่ยวไว้แล้ว โดยสนใจท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อน เน้นความสะดวกสบายมากขึ้น หากภาครัฐมีการส่งเสริมเรื่องค่าใช้จ่าย โปรโมชั่น การเดินทางที่สะดวก มีเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ ๆ ทั้งเมืองหลักและเมืองรองก็จะช่วยกระตุ้นการเดินทางในประเทศได้ตรงใจประชาชน และทำให้ประชาชนกล้าที่จะใช้จ่ายมากขึ้น

ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิมพ์มาดา วิชาศิลป์ คณบดีโรงเรียนการท่องเที่ยวและบริการ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า ผลจากการสนทนากลุ่ม (Focus Group) เรื่องคำตอบท่องเที่ยวไทยหลังโควิด-19 พบว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวไทยในช่วงครึ่งปีหลังนี้ดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก โดยในไตรมาส 4 นี้จะมีการเดินทางท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นทั้งจากนักท่องเที่ยวในประเทศและต่างประเทศ โดยทางสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยเห็นว่าคำตอบของท่องเที่ยวไทยหลังโควิด-19 ควรมาจากการออกแบบการท่องเที่ยวใหม่ หรือ Tourism Redesign โดยนำเสนอยุทธศาสตร์สมดุล 4 ประการเพื่อสร้างการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนคือ 1) สมดุลเมืองหลักและเมืองรอง 2) สมดุลผู้ประกอบการรายย่อยและรายใหญ่ 3) สมดุลด้านการใช้ทรัพยากรการท่องเที่ยวทางธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น และ 4) สมดุลของแผนด้านการท่องเที่ยวระยะสั้นและระยะยาว

หลายภาคส่วนที่เข้าร่วมสนทนากลุ่มมีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันในประเด็นด้านอุปทานการท่องเที่ยวควรดำเนินการควบคู่ไปกับการส่งเสริมการตลาดสำหรับนักท่องเที่ยวในฝั่งอุปสงค์ โดยดำเนินการไปในทิศทางเดียวกันในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจากต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน สิ่งสำคัญที่สุด คือ การนำเสนอคุณค่าและประสบการณ์การท่องเที่ยวไทยอย่างจริงแท้ ซื่อตรง เพื่อสร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวเพื่อให้กลับมาเยือนประเทศไทยอีกครั้ง

istock-1403636271

เราเที่ยวด้วยกันเฟส 5 มาแน่ จ่อเข้าครม.สัปดาห์นี้ 

ผู้ว่าการ ททท. นายยุทธศักดิ์ สุภสร บอกว่า เตรียมชงขยายโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 5 เข้า ครม.สัปดาห์นี้ โดยให้สิทธิ 2 ล้านรูมไนท์ เป็นของขวัญปีใหม โดยเบื้องต้นผู้เข้าโครงการจะยังคงได้รับสิทธิส่วนลดค่าที่พักร้อยละ 40 สูงสุดไม่เกิน 3,000 บาทต่อห้อง และค่าใช้จ่ายรายวัน 600 บาทต่อวัน สำหรับค่าตั๋วเครื่องบินคาดว่าจะตัดสิทธิ์ออก เนื่องจาก ททท. ร่วมกับสายการบินจัดโครงการลดทั่วฟ้า บินทั่วไทยที่ให้ส่วนลดค่าบิน 300 บาทต่อคนอยู่แล้ว ดังนั้น โครงการเราเที่ยวกัน เฟส 5 หากมีการใช้สิทธิ์ทั้งหมดคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณรวม 7,200 ล้านบาท

สำหรับงบประมาณจะต้องหารือกับสภาพัฒน์ เนื่องจากเม็ดเงินจากวงเงินกู้ตาม พ.ร.ก.หมดแล้ว หากขยายโครงการนี้ต่อ จะต้องใช้งบกลางปี 2566 “ททท.จะพยายามผลักดันให้มีการขยายโครงการเร็วที่สุด เพื่อที่จะเป็นของขวัญปีใหม่

สำหรับตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยช่วง 1 ม.ค.-26 ต.ค.65 แล้ว 7.39 ล้านคน หรือวันละกว่า 5.1 หมื่นคน โดยวันที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยมากที่สุดคือวันที่ 26 ต.ค.ที่กว่า 9 หมื่นคน และคาดว่าสิ้นสุดเดือน ต.ค.จะอยู่ที่ 7.5 ล้านคน และคาดว่าทั้งปีตัวเลขจะขึ้นมาที่ 10 ล้านคน และปีหน้าตั้งเป้าไว้ที่ 20 ล้านคน และรายได้ต้องกลับมาไม่ต่ำกว่า 80% ของปี 62 ก่อนวิกฤติโควิด

เราเที่ยวด้วยกันเฟส5

การท่องเที่ยวกลับมา...ธุรกิจโรงแรม และที่พักกลุ่มใดจะฟื้นตัวได้ก่อน?

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ปี 2566 รายได้ของธุรกิจโรงแรมและที่พักน่าจะเติบโตต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ทั้งตลาดคนไทยเที่ยวไทยและตลาดต่างชาติเที่ยวไทย โดยคาดว่าตลาดต่างชาติเที่ยวไทยจะฟื้นตัวได้เกือบเท่าตัวจากปี 65  ซึ่งจะเป็นแรงบวกสำคัญของธุรกิจ    


อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมและที่พักยังต้องเผชิญโจทย์ท้าทายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์โควิด ที่ยังเป็นข้อจำกัดในการเดินทางของนักท่องเที่ยวบางกลุ่ม ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจหลักของโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย ในขณะที่ความรุนแรงของสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนส่งผลให้หลายประเทศในยุโรปเผชิญปัญหาวิกฤติพลังงาน การแข่งขันที่สูงขึ้นในธุรกิจโรงแรมและที่พัก เทรนด์และพฤติกรรมการท่องเที่ยวที่เน้นประสบการณ์ ส่งผลต่อการออกแบบที่พักและการบริการ  ตลอดจนแนวโน้มต้นทุนทางธุรกิจของผู้ประกอบการปรับตัวสูงขึ้น   

เราเที่ยวด้วยกัน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงยังมีมุมมองที่ระมัดระวังต่อการฟื้นตัว โดยคาดว่าอัตราการเข้าพักของสถานพักแรมทั่วประเทศทั้งปี 66 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 52-60% ต่ำกว่าปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 70.08% ขณะที่รายได้ธุรกิจโรงแรมและที่พัก น่าจะอยู่ที่ประมาณ 5-6 แสนล้านบาท ต่ำกว่าก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิดเช่นกัน และการฟื้นตัวของธุรกิจจะยังไม่ทั่วถึง โดยกลุ่มโรงแรมและที่พักที่น่าจะฟื้นตัวได้ดี   ยังเป็นกลุ่มที่อยู่ในจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวไทย อย่างภาคตะวันตกและภาคเหนือ ขณะที่กลุ่มที่รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะกลับมาดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ทำตลาดจับกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติภูมิภาคเอเชียและภูมิภาคตะวันออกกลาง ในราคาห้องพักเฉลี่ยไม่เกิน 3,000 บาทต่อคืน และกลุ่มโรงแรมที่มีรายได้จากการจัดงานอีเวนต์และประชุมสัมมนา โดยเฉพาะกลุ่มที่จับตลาดการประชุมสัมมนาของหน่วยงานภาครัฐและองค์กรระหว่างประเทศ

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT