ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประกาศปรับลดประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าประเทศไทยในปี 2568 เหลือ 34.5 ล้านคน โดยลดลงถึง 2.8% เมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวในปีก่อนหน้า อันเป็นผลจากจำนวนผู้เดินทางที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม และมีแนวโน้มซบเซาต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง สะท้อนความท้าทายที่ภาคการท่องเที่ยวไทยต้องเผชิญทั้งในด้านความสามารถในการแข่งขัน รายได้ต่อหัวที่ลดลง และพฤติกรรมการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลง
การปรับลดประมาณการครั้งนี้ทำให้เป้าหมายการฟื้นกลับไปสู่ระดับนักท่องเที่ยวต่างชาติเกือบ 40 ล้านคนต่อปี ซึ่งเคยเกิดขึ้นก่อนการระบาดของโควิด-19 ดูจะห่างไกลและยากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจาก “คุณภาพ” ของนักท่องเที่ยวในเชิงเศรษฐกิจ ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปของนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้ยังคงอยู่ที่เพียงประมาณ 47,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าที่คาดและสะท้อนแนวโน้มรายได้ที่ชะลอลงอย่างชัดเจน
กสิกรไทยตั้งคำถามถึงบทบาทของภาคการท่องเที่ยวว่า ยังสามารถเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยได้อยู่หรือไม่ เมื่อพิจารณาจากทิศทางรายได้สุทธิที่เริ่มแผ่วลง ทั้งจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง และการใช้จ่ายที่ไม่เร่งตัว
แม้ว่ารายได้สุทธิจากการท่องเที่ยวในภาพรวมยังเป็นบวก แต่ “แรงหนุน” ต่อเศรษฐกิจไทยจากภาคท่องเที่ยวมีแนวโน้มลดลง จาก 3 ปัจจัยหลัก:
1. การแข่งขันระหว่างประเทศทวีความรุนแรง – ไทยเสียเปรียบทั้งด้านราคาและภาพลักษณ์
ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสกุลเงินของประเทศที่เป็นทั้ง “ต้นทาง” และ “คู่แข่ง” ด้านการท่องเที่ยว เช่น เวียดนาม หรือญี่ปุ่น ทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากเริ่มเปรียบเทียบความคุ้มค่าในการเดินทางอย่างจริงจัง แม้ว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะไม่ใช่ปัจจัยหลักในการตัดสินใจ แต่ก็มีผลต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายระหว่างทริปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ขณะเดียวกัน ราคาห้องพักเฉลี่ยทั่วประเทศของไทยก็ปรับเพิ่มขึ้นกลับไปสู่ระดับก่อนโควิด และในบางพื้นที่สูงกว่าด้วยซ้ำ ซึ่งทำให้ไทยอาจเสียเปรียบในแง่ราคาหากไม่สามารถเสริมความน่าสนใจด้านคุณภาพประสบการณ์หรือบริการที่แตกต่าง
2. นักท่องเที่ยวไทยแห่เที่ยวต่างประเทศต่อเนื่อง – ค่าใช้จ่ายไหลออกมากขึ้น
พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวไทยเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน โดยหันไปเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น ทั้งจากความสะดวกในการเดินทาง การแข่งขันของธุรกิจท่องเที่ยวที่ออกแคมเปญอย่างต่อเนื่อง และแรงจูงใจจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองว่าการเดินทางไปต่างประเทศคือการเปิดโลก ท้าทายประสบการณ์ และเป็นการใช้เวลาคุณภาพกับครอบครัวหรือเพื่อน
ปี 2568 คาดว่าคนไทยจะเดินทางไปต่างประเทศในจำนวนที่ใกล้เคียงกับปีก่อน โดยมีจุดหมายยอดนิยมอย่างญี่ปุ่นและจีนกลับมาได้รับความนิยมสูงขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายต่อทริปสำหรับการท่องเที่ยวต่างประเทศก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งหมายถึงการ “ดูดซับ” เงินออกจากระบบเศรษฐกิจภายในประเทศมากยิ่งขึ้น
3. การใช้จ่ายภายในประเทศยังถูกจำกัดด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจ
แม้การท่องเที่ยวภายในประเทศยังเติบโตในเชิงจำนวน แต่ “มูลค่า” ไม่ได้โตตามไปด้วย ค่าใช้จ่ายต่อทริปของคนไทยยังไม่ขยับขึ้น เนื่องจากปัญหารายได้ที่ไม่แน่นอน ค่าครองชีพที่เพิ่มสูง และความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีที่รัฐบาลจะต้องเข้ามาช่วยกระตุ้นผ่านโครงการ "เที่ยวไทยคนละครึ่ง" เพื่อพยุงการบริโภค
เมื่อพิจารณาจากรายได้รวมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ บวกกับรายได้จากนักท่องเที่ยวไทยภายในประเทศ และหักลบด้วยค่าใช้จ่ายของคนไทยที่เดินทางไปต่างประเทศ พบว่ารายได้สุทธิจากภาคการท่องเที่ยวในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.38 ล้านล้านบาท แม้จะยังเป็นบวก แต่ก็ลดลงจากปี 2567 และเป็นสัญญาณเตือนว่า "พลังท่องเที่ยว" ในฐานะแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยเริ่มเสื่อมแรงลงอย่างมีนัยสำคัญ
เพื่อให้ภาคการท่องเที่ยวยังคงเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเสนอแนวทางใน 2 ระยะ ได้แก่
ในระยะเร่งด่วน ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเสนอว่า ประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะผ่านการบังคับใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดจริงจัง ควบคู่กับการยกระดับคุณภาพประสบการณ์การท่องเที่ยวตลอดเส้นทาง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นอย่างขั้นตอนการเดินทางเข้าประเทศ ไปจนถึงบริการในพื้นที่ปลายทาง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบ
แนวทางนี้จะสามารถต่อยอดจากปัจจัยบวกล่าสุด เช่น การที่รัฐบาลสหรัฐฯ ปรับระดับคำแนะนำการเดินทางมายังประเทศไทยขึ้นเป็นระดับ “ปลอดภัยสูงสุด” ซึ่งเป็นโอกาสในการตอกย้ำภาพลักษณ์ความพร้อมของไทยในเวทีสากล
สำหรับการปรับกลยุทธ์ตลาดต่างชาติ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยแนะให้เลือกเจาะ
ในระยะยาว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยแนะนำให้ไทยขยายฐานนักท่องเที่ยวเพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกจากพักผ่อน เช่น กลุ่ม MICE (ประชุม สัมมนา นิทรรศการ), กลุ่มนักธุรกิจ, และ Digital Nomads โดยอาศัยจุดแข็งที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานระดับนานาชาติมากที่สุดในอาเซียนปี 2567 และกรุงเทพฯ ได้รับการจัดอันดับเป็นเมืองที่ดีที่สุดในโลกสำหรับการทำงานทางไกลปี 2568
ตัวอย่างเช่น สิงคโปร์มีสัดส่วนการท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อน-ธุรกิจที่ประมาณ 85:15 ขณะที่ไทยยังคงพึ่งพานักท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนมากถึง 95% ของทั้งระบบ
นอกจากนี้ ไทยยังควรเร่งเติมเต็มระบบนิเวศของการท่องเที่ยวมูลค่าสูง (High-Value Tourism Ecosystem) และเร่งพัฒนาและโปรโมตการท่องเที่ยวในกลุ่มเฉพาะที่มีการใช้จ่ายต่อหัวสูงกว่าปกติ เช่น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่ากลุ่มเหล่านี้มีแนวโน้มใช้จ่ายต่อทริปสูงกว่าค่าเฉลี่ย 20–30% และมีความถี่ในการเดินทางซ้ำมากกว่า
แม้ภาคการท่องเที่ยวจะยังคงสร้างรายได้สุทธิในระดับสูงในปี 2568 แต่สัญญาณจากหลายด้านชี้ชัดว่า “เครื่องยนต์ท่องเที่ยว” ของไทยเริ่มอ่อนแรง หากไม่สามารถฟื้นความเชื่อมั่น สร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่า และปรับโครงสร้างการพึ่งพาได้ทันเวลา เศรษฐกิจไทยในระยะกลางถึงยาวอาจไม่สามารถอาศัยภาคการท่องเที่ยวเป็นกลไกหลักได้อีกต่อไป
ทางออกจึงไม่ใช่แค่เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเท่านั้น หากแต่ต้องปรับสมดุล “จำนวน คุณภาพ และความยั่งยืน” ไปพร้อมกันอย่างเป็นระบบ