รัสเซียเตือนราคาน้ำมันอาจพุ่งทะลุ 300 ดอลลาร์ หากชาติตะวันตกรวมหัวแบนนำเข้า สหรัฐยันเอาจริง ขณะที่ยุโรปเตรียมแถลงท่าทีลดพึ่งพาการนำเข้าก๊าซ-น้ำมัน-ถ่านหินจากรัสเซีย
นายอเล็กซานเดอร์ โนวัค รองนายกรัฐมนตรีรัสเซีย เตือนว่า ชาติตะวันตกอาจเผชิญกับราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นถึง 300 ดอลลาร์/บาร์เรล และท่อส่งก๊าซหลักระหว่างรัสเซีย-เยอรมนี อาจถูกปิดลง หากรัฐบาลชาติตะวันตกยังเดินหน้าแผนการระงับนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย
นายโนวัค กล่าวว่า การปฏิเสธน้ำมันจากรัสเซียจะนำไปสู่หายนะสำหรับตลาดโลก ผลที่ตามมาก็คือราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นสู่ระดับที่เหนือความคาดหมาย โดยอาจพุ่งขึ้นทะลุระดับ 300 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งยุโรปอาจต้องใช้เวลามากกว่า 1 ปี จึงจะสามารถหาน้ำมันชดเชยส่วนที่นำเข้าจากรัสเซีย และยุโรปอาจจะต้องจ่ายราคาที่แพงขึ้นหากตัดสินใจแบนการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย
"นักการเมืองยุโรปควรเตือนพลเรือนของตนเองว่าอะไรจะเกิดขึ้น หากคุณปฏิเสธน้ำมันจากรัสเซีย ก็ทำได้เลย เราพร้อมรับมือกับสถานการณ์นี้ และเรารู้ว่าเราจะปรับทิศทางการส่งออกน้ำมันไปยังที่ใด" นายโนวัค กล่าว
นอกจากนี้ รองนายกฯ รัสเซียยังขู่ว่า รัสเซียอาจจะระงับการลำเลียงก๊าซไปยังยุโรปผ่านทางท่อส่ง นอร์ด สตรีม 1 (Nord Stream 1) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการตอบโต้ชาติตะวันตกที่ใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียในกรณีโจมตียูเครน โดยย้ำว่ารัสเซียมีสิทธิที่จะใช้มาตรการต่างๆ เพื่อตอบโต้ประเทศที่คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย แต่ขณะนี้ รัสเซียยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะปิดท่อส่งก๊าซนอร์ด สตรีม 1 และปัจจุบันท่อส่งแห่งนี้ยังคงลำเลียงก๊าซอย่างเต็มศักยภาพ
คำเตือนดังกล่าวมีขึ้น หลังจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 14 ปี เมื่อนายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐเปิดเผยว่า สหรัฐและชาติพันธมิตรในยุโรปกำลังพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะระงับการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย เพื่อตอบโต้รัสเซียที่ใช้กำลังทหารบุกโจมตียูเครน
"ยุโรป" จ่อลดพึ่งพาพลังงานรัสเซีย แต่ยังค้านแผน
รอยเตอร์เปิดเผยร่างแถลงการณ์ของสหภาพยุโรป (อียู) ว่า อียูจะประกาศแนวทางเรื่องลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหินจากรัสเซีย ในที่ประชุมสุดยอดผู้นำอียู วันที่ 10 - 11 มี.ค. ที่จะถึงนี้ ซึ่งจะถือเป็นจุดเปลี่ยนด้านนโยบายพลังงานครั้งสำคัญต่อรัสเซีย ซึ่งนอกจากเรื่องพลังงานแล้ว ยังมีการหารือเรื่องการยกระดับขีดความสามารถด้านกลาโหม และการที่ "ยูเครน" สมัครเข้าเป็นสมาชิกอียู อีกด้วย
บลูมเบิร์กรายงานว่า อียูมีแผนที่จะลดการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียในปีนี้ลงถึง 80% โดยจะใช้วิธีหันไปหาแหล่งก๊าซรายอื่น และเพิ่มการใช้พลังงานทางเลือกเพื่อทดแทนมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ภารกิจดังกล่าวยังถือเป็นเรื่องยาก เพราะอียูนำเข้าก๊าซ 45% รวมถึงน้ำมันประมาณ 1 ใน 3 และถ่านหินเกือบครึ่งหนึ่งจากรัสเซีย ซึ่งถือเป็นการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียจำนวนมากและยากที่จะหาแหล่งพลังงานรายใหม่มาทดแทนได้ในเวลาอันสั้น ในขณะที่ประเทศสมาชิกอิตาลี ออสเตรีย และฮังการี ยังไม่ได้เตรียมทางเลือกอื่นไว้รองรับ
ขณะเดียวกันมีรายงานด้วยว่า แม้ยุโรปจะเห็นด้วยที่ต้องลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซีย แต่ยุโรปกลับ "เสียงแตก" กับแผนการของสหรัฐ ที่จะห้ามการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย โดย "เยอรมนี" ซึ่งเป็นประเทศใหญ่ในกลุ่มอียู เป็นผู้คัดค้านแผนนี้
นายกรัฐมนตรี โอลาฟ โชลซ์ ของเยอรมนี ระบุว่า "ยุโรปไม่สามารถตัดขาดด้านพลังงานกับรัสเซียได้เพียงแค่ชั่วข้ามคืน" โดยการระงับการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียในขณะนี้ จะส่งผลกระทบด้านพลังงานของยุโรปตามมาในหลายด้าน ทั้งในด้านไฟฟ้า การทำความร้อน การคมนาคมขนส่ง และอุตสาหกรรม โดยเฉพาะจะกระทบต่อบริการสาธารณะและชีวิตประจำวันของประชาชน
ด้านรอยเตอร์สรายงานอ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า รัฐบาลสหรัฐพร้อมที่จะออกมาตรการคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย แม้จะไม่ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรในยุโรปก็ตาม
น้ำมันดิบสหรัฐปิดพุ่ง 3.72 ดอลลาร์ รับข่าวสหรัฐจ่อแบนน้ำมันรัสเซีย
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส สหรัฐ ปิดตลาดเมื่อคืนนี้พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 14 ปี จากข่าวแผนการแบนนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย โดยราคา WTI พุ่งขึ้น 3.72 ดอลลาร์ หรือ 3.2% ปิดที่ 119.40 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย. 2551
ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ พุ่งขึ้น 5.10 ดอลลาร์ หรือ 4.3% ปิดที่ 123.21 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย. 2555
คาร์สเตน ฟริทช์ นักวิเคราะห์ด้านพลังงานจากคอมเมิร์ซแบงก์รีเสิร์ช กล่าวว่า ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงหลังมีรายงานว่าชาติตะวันตกกำลังพิจารณาการแบนนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย โดยรัสเซียถือเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก ซึ่งหากนานาประเทศตัดสินใจแบนน้ำมันจากรัสเซีย ก็จะส่งผลกระทบต่อภาวะอุปทานน้ำมันในตลาดโลกและทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอีก