
สถานการณ์น้ำท่วมใน 9 จังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังซ้ำเติมภาวะเปราะบางของเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งพาการค้า การท่องเที่ยว และธุรกิจบริการเป็นหลัก ถนนสายเศรษฐกิจถูกตัดขาด ร้านค้าและกิจการจำนวนมากต้องหยุดดำเนินการกะทันหัน กระแสรายได้ของครัวเรือนและผู้ประกอบการจึงสะดุดลงพร้อมกันในเวลาอันรวดเร็ว เมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางคมนาคมและการค้าของภาคใต้ กลับกลายเป็นพื้นที่ประสบภัยที่ต้องเร่งฟื้นฟูทั้งระบบ
นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย สะท้อนมุมมองว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เป็น “เรื่องเศร้า” ในเชิงสังคมและชีวิตผู้คนอย่างแท้จริง แต่เมื่อนำเข้าสู่กรอบนโยบายการเงิน ธนาคารกลางจำเป็นต้องมองภาพในระดับประเทศ ไม่สามารถใช้นโยบายการเงินแบบเจาะจงพื้นที่หรืออุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งได้โดยตรง ธปท. จึงดำเนินการผ่าน “ระบบสถาบันการเงิน” ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล เพื่อให้การช่วยเหลือกระจายไปถึงผู้ได้รับผลกระทบได้อย่างครอบคลุมที่สุด
นายวิทัยระบุว่า ในเชิงตัวเลข พื้นที่ที่ได้ผลกระทบจากเหตุอุทกภัยในภาคใต้มีสัดส่วนต่อ GDP ประเทศราว 2.6% ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่เศรษฐกิจขนาดใหญ่ระดับภูมิภาค เมื่อเกิดอุทกภัยรุนแรง ผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นจึงหนักหนาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม หากประเมินในระดับมหภาคแล้ว ผลกระทบต่อ GDP รวมของประเทศจะอยู่เพียงราว 0.1-0.2% ซึ่งสะท้อนว่า แม้พื้นที่จะเสียหายมาก แต่ระบบเศรษฐกิจภาพรวมยังคงมีความสามารถรองรับแรงกระแทกได้
ทั้งนี้ ผู้ว่าการ ธปท. ยังย้ำว่า แม้ตัวเลขในระดับประเทศจะดู “จำกัด” แต่สำหรับคนในพื้นที่ นี่คือวิกฤตจริงที่กระทบต่อทั้งชีวิตและอนาคต นายวิทัยเชื่อมโยงถึงประสบการณ์ส่วนตัวในช่วงทำงานที่ธนาคารออมสินซึ่งปรับบทบาทเป็น “โซเชียลแบงก์” ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยระบุว่าบุคลากรของออมสินลงพื้นที่ช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง ตั้งแต่บทบาทหลักด้านสินเชื่อ ไปจนถึงกิจกรรมเชิงสังคม เช่น การบริการซ่อมรถจักรยานยนต์ฟรี หรือการสนับสนุนแรงงานอาสาในพื้นที่ ภาพเหล่านี้คือ “อิมแพ็กต์” ที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่เพียงตัวเลขในรายงานเศรษฐกิจ
ในด้านเครื่องมือนโยบายการเงิน ธปท. ได้ผ่อนคลายเกณฑ์ที่อยู่ในอำนาจให้สถาบันการเงินสามารถช่วยลูกหนี้ได้อย่างเต็มที่ ตั้งแต่การผ่อนปรนการจัดชั้นหนี้ เพื่อไม่ให้ลูกหนี้ที่หยุดชำระชั่วคราวต้องกลายเป็นหนี้เสียอัตโนมัติ เปิดทางให้ลดทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย รวมถึงปรับอัตราการชำระหนี้บัตรเครดิตจากระดับราว 8% ลงมาเหลือเพียง 3% หรือแม้กระทั่ง 0% ในบางกรณี เพื่อบรรเทาภาระในช่วงวิกฤต
ขณะเดียวกัน ธปท. เร่งผลักดันผ่านการหารือร่วมกับสมาคมธนาคารไทยอย่างต่อเนื่อง ผู้ว่าการ ธปท. ระบุว่า เพียงช่วงเช้าก่อนการให้สัมภาษณ์ ก็ยังมีการประชุมและพูดคุยในรายละเอียดกับภาคธนาคาร โดยยอมรับว่าธนาคารพาณิชย์มีความเป็นอิสระมากกว่าธนาคารรัฐ ทำให้รูปแบบการช่วยเหลืออาจแตกต่างกันในแต่ละแห่ง ทั้งในแง่วงเงินและกลุ่มลูกค้า อย่างไรก็ดี สัญญาณจากสมาคมธนาคารไทยยืนยันตรงกันว่า “พร้อมช่วยเต็มที่” และอยู่ระหว่างเร่งออกมาตรการให้ทันต่อรอบชำระหนี้ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ช่วงปลายเดือน
สำหรับธนาคารของรัฐ โดยเฉพาะออมสิน ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะใช้มาตรการลดต้นลดดอกเป็นศูนย์ในบางเซ็กเมนต์ของพื้นที่เสียหายรุนแรงอย่างหาดใหญ่ และเตรียมขยายความช่วยเหลือไปยังจังหวัดน้ำท่วมอีก 9 จังหวัดในลำดับถัดไป ขณะที่มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำหรือซอฟต์โลนในระดับนโยบายธนาคารกลางนั้น จำเป็นต้องออกผ่านพระราชกำหนด ซึ่งยังมีข้อจำกัดทางการเมืองในช่วงนี้ ทำให้กลไกหลักจึงตกอยู่กับธนาคารออมสินเป็นสำคัญ
ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวด้วยว่า แพ็กเกจช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและแพ็กเกจน้ำท่วมของรัฐบาลขณะนี้อยู่ระหว่างการนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี โดยย้ำว่า ธปท. และกระทรวงการคลังทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ไม่มีปัญหาเรื่องความไม่สอดคล้องของนโยบายในยุคนี้ บทบาทของธนาคารกลางจึงไม่ได้จำกัดเฉพาะอัตราดอกเบี้ยนโยบายเท่านั้น แต่ใช้เครื่องมือหลากหลายเพื่อดูแลเสถียรภาพระบบการเงินและแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นภาระหนี้ครัวเรือนหรือภาคเอสเอ็มอีที่เผชิญการหดตัวของสินเชื่อต่อเนื่องยาวนานถึง 13 ไตรมาส
ท้ายที่สุด ผู้ว่าการ ธปท. สรุปว่า น้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้แม้ไม่เขย่าเศรษฐกิจไทยทั้งระบบอย่างรุนแรง แต่ได้ตอกย้ำว่าความเปราะบางเชิงพื้นที่สามารถส่งผลสะเทือนได้ในทันที หากไร้มาตรการรองรับที่ทันท่วงที ความร่วมมือระหว่างการเงินการคลังและภาคสถาบันการเงินจึงเป็นกุญแจสำคัญในการพยุงผู้ประกอบการและครัวเรือนผ่านพ้นวิกฤต และนำไปสู่การฟื้นตัวที่ไม่ใช่แค่ “กลับสู่จุดเดิม” แต่เป็นการสร้างฐานเศรษฐกิจที่แข็งแรงกว่าเดิมในระยะยาว