
ปี 2568 เป็นอีกปีที่ชาวนาไทยต้องเดือดร้อนกับราคาข้าวที่ราคาตกต่ำลง ซึ่งในภาวะราคาปกติก็ไม่ได้มีกำไรมากอยู่แล้ว
ตามข้อมูล ปีนี้ราคาข้าวไทยจะลดลงมากกว่า 10% เพราะมีผลผลิตข้าวมากขึ้น แต่ส่งออกได้น้อย การส่งออกหดตัวต่อเนื่องมาแล้ว 11 เดือน และหดตัวลงมากถึง 31.4% ในเดือนกันยายน
ชุดนโยบายเศรษฐกิจ ‘Quick Big Win’ ที่ตั้งเป้า “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” ของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ไม่มีนโยบายที่เน้นสำหรับภาคการเกษตร มีเพียงส่วนที่เกี่ยวข้องคือการแก้ไขหนี้เสียของประชาชน ซึ่งรวมถึงหนี้เสียของเกษตรกรที่เป็นลูกหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
ดังนั้น SPOTLIGHT จึงหาคำตอบว่า รัฐบาลโดยกระทรวงที่เกี่ยวข้องมีมาตรการช่วยเหลือชาวนาไทยโดยตรงหรือไม่ อย่างไร ?
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ราคาข้าวไทยในปี 2568 คาดว่าจะหดตัวลึกถึง 10.9% ไปเฉลี่ยอยู่ที่ 11,175 บาทต่อตัน ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 4 ปี หลังจากในช่วงปี 2565-2567 ราคาเติบโตเฉลี่ย 6.4% ต่อปี
ปัจจัยสำคัญที่ฉุดราคาข้าว คือ ผลผลิตข้าวที่ออกมาในระดับสูง เนื่องจากสภาพอากาศที่เป็นปรากฏการณ์ลานีญาเอื้อต่อการผลิต ส่งผลให้ไทยมีผลผลิตข้าวพุ่งแตะ 35.8 ล้านตัน สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตถึง 1.11 เท่า สอดคล้องกับผลผลิตข้าวโลกที่เพิ่มขึ้น 3.3% ดันสต็อกข้าวโลกเพิ่ม 5% และมีอุปทานส่วนเกินโลกสูงถึง 8.98 ล้านตัน ประกอบกับอินเดียเร่งส่งออกข้าวเพิ่มกว่า 34.2% จึงฉุดราคาข้าวโลกให้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนั้น ฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นผู้นำเข้าข้าวรายสำคัญ ยังได้สั่งงดนำเข้าข้าวตั้งแต่เดือนกันยายน 2568 ไปจนถึงเดือนเมษายน 2569 ซึ่งจะส่งผลให้อุปทานข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น และจะยิ่งกดดันให้ราคาข้าวในตลาดโลกและราคาข้าวไทยลดลง
ดังที่กล่าวไปในตอนต้นว่า ไม่มีนโยบ้ายด้านราคาสินค้าเกษตรอยู่ใน 5 เสาหลักนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้ SPOTLIGHT จึงค้นข่าวและข้อมูลจากกระทรวงหลักที่เกี่ยวข้อง คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ว่ามีแนวทางช่วยเหลือชาวนาอย่างไรบ้าง
จากการค้นข้อมูลพบว่า มี ‘มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2568/69’ ที่ได้รับอนุมติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ในสมัยรัฐบาลก่อนหน้า ซึ่ง ครม.อนุมัติกรอบวงเงิน 60,000 ล้านบาท ครอบคลุมผลผลิตเป้าหมาย 8.5 ล้านตัน ดำเนินมาตรการโดยกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ประกอบด้วย 3 โครงการ คือ
1. โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 ให้เกษตรกรเก็บข้าวไว้ 1 – 5 เดือน ได้รับค่าฝากเก็บ 1,500 บาท/ตัน เป้าหมาย 3 ล้านตัน วงเงินจ่ายขาดประมาณ 9,164.23 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการ 1 ต.ค.68 – 31 ธ.ค. 69
2. โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2568/69 ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้สถาบันเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ เป้าหมาย 1.5 ล้านตัน
3. โครงการชดเชยดอกเบี้ยผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2568/69 ให้โรงสีเก็บสต็อก 2 – 6 เดือน รัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี เป้าหมาย 4 ล้านตัน วงเงินจ่ายขาดประมาณ 642.00 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่วันที่ ครม.มีมติ (19 ส.ค. 68) – 31 ต.ค.70
ดังนั้น แนวทางการช่วยเหลือที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการในปัจจุบัน จึงอยู่ภายใต้มาตรการดังกล่าว
สำหรับการดำเนินการและความคืบหน้า พบการรายงานความคืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ดังนี้
1. โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 ดำเนินการโดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ มีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรแสดงความประสงค์เข้าร่วมจำนวน 133 แห่ง ในพื้นที่ 37 จังหวัด ใช้วงเงินสินเชื่อรวม 7,638.19 ล้านบาท เพื่อรองรับปริมาณข้าวเปลือกที่จะเข้าร่วมโครงการ 763,819 ตัน
2. โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2568/69 ดำเนินการโดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ มีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรประสงค์เข้าร่วมจำนวน 295 แห่ง ตั้งเป้ารวบรวมปริมาณข้าวเปลือกเข้าสู่ระบบสหกรณ์กว่า 4 ล้านตัน มูลค่ารวบรวมกว่า 40,000 ล้านบาท
3. โครงการชดเชยดอกเบี้ยผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2568/69 ดำเนินการโดยกรมการค้าภายในและสมาคมโรงสี เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวสามารถรับซื้อและเก็บสต็อกข้าว 2–6 เดือน มีเป้าหมายปริมาณข้าวเปลือก 4 ล้านตัน โดยภาครัฐสนับสนุนดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี วงเงินงบประมาณจ่ายขาด 642 ล้านบาท เริ่มรับซื้อตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2568 ถึง 31 มีนาคม 2569 และสิ้นสุดในวันที่ 31 ตุลาคม 2570
นอกจากนั้น มีความคืบหน้าจากฝั่งกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคมว่า กระทรวงพาณิชย์เปิดจะเสนอให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) พิจารณามาตรการดูแลราคาข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 เพิ่มเติม โดยให้ 3 หน่วยงาน คือ องค์การคลังสินค้า (อคส.) องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เข้ามารับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร เป้าหมาย 3 ล้านตัน ในราคานำตลาด เพื่อช่วยดึงราคาข้าวเปลือกในช่วงที่ผลผลิตกำลังจะออกสู่ตลาดมาก