
รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ยังคงปิดทำการอย่างต่อเนื่อง หลังจากสภาคองเกรสยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงงบประมาณเพื่อเปิดให้หน่วยงานของรัฐกลับมาดำเนินงานได้อีกครั้ง โดยในวันนี้ (3 ต.ค. 68) การปิดทำการของรัฐบาลครั้งนี้ดำเนินมาถึงวันที่ 33 แล้ว เหลืออีกเพียงสองวันก็จะกลายเป็นการชัตดาวน์ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งสถิติเดิมเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 22 ธันวาคม ปี 2561 ถึง 25 มกราคม ปี 2562 รวม 35 วัน
เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้สหรัฐฯ ราว 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.1 แสนล้านบาท ตามการประเมินของสำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ชี้ว่าการชัตดาวน์รอบนี้มีแนวโน้มรุนแรงกว่าครั้งก่อน เพราะสภาคองเกรสยังไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายงบประมาณรายจ่ายทั้ง 12 ฉบับที่จำเป็นต่อการบริหารประเทศได้เลย หมายความว่านี่คือ “การปิดรัฐบาลแบบเต็มรูปแบบ” ไม่ใช่แค่บางส่วนเหมือนเมื่อปี 2561 ที่ยังมีบางหน่วยงานเปิดทำการได้
รายงานของสำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ระบุว่าการปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลกลางในครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ แล้วอย่างน้อย 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ และตัวเลขดังกล่าว “จะทวีความรุนแรงขึ้น” ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า หากภาวะชัตดาวน์ยังคงยืดเยื้อออกไป
CBO อธิบายว่า แม้ผลกระทบส่วนใหญ่ของการชัตดาวน์จะเป็นเพียงชั่วคราว โดยเศรษฐกิจอาจฟื้นตัวบางส่วนในช่วงต้นปีหน้า เนื่องจากรัฐบาลจะเร่งการใช้จ่ายชดเชยเมื่อเปิดทำการอีกครั้ง แต่ก็มีความเสียหายบางส่วนที่ “ไม่สามารถฟื้นคืนได้” โดย CBO ประเมินว่าผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่จะไม่สามารถกู้คืนได้ มีมูลค่าระหว่าง 7 พันล้านถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่การปิดทำการจะยืดเยื้อออกไป
ในด้านผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ รายงานของ CBO ระบุว่า GDP ในไตรมาส 4 ของปีนี้อาจลดลงอย่างน้อย 1 จุดเปอร์เซ็นต์จากระดับที่ควรจะเป็น และหากการปิดทำการดำเนินต่อไปจนถึงหกสัปดาห์ หรือราวกลางเดือนพฤศจิกายน CBO คาดว่าอัตราการเติบโตของ GDP ที่แท้จริงจะลดลง 1.5 จุดเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเทียบเท่าความเสียหายราว 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์ และหากการปิดทำการยืดเยื้อถึงแปดสัปดาห์หรือเข้าสู่ช่วงวันหยุด Thanksgiving ความเสียหายอาจเพิ่มขึ้นเป็น 2 จุดเปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 3.9 หมื่นล้านดอลลาร์
การชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังสร้างแรงกระเพื่อมต่อเศรษฐกิจจากหลายมิติ ทั้งการหยุดให้บริการของเจ้าหน้าที่รัฐ การชะลอตัวของภาคเอกชน การใช้จ่ายภาครัฐที่หยุดชะงัก รวมถึงผลกระทบต่อโครงการสวัสดิการและความช่วยเหลือทางอาหารที่ไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติ หน่วยงานหลักอย่างกระทรวงแรงงาน กระทรวงเกษตร และหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมต่างต้องเลื่อนแผนงานออกไปโดยไม่มีกำหนด สะท้อนถึงภาวะที่โครงสร้างการบริหารราชการกำลังหยุดนิ่งลงทั้งระบบ
รายงานจากสำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) ระบุว่า การปิดหน่วยงานครั้งนี้ทำให้พนักงานรัฐบาลกลางราว 650,000 คนถูกพักงานชั่วคราวโดยไม่ได้รับค่าจ้าง หากนับรวมทั้งหมดเป็นกลุ่มว่างงานชั่วคราว อัตราการว่างงานของประเทศจะพุ่งขึ้นราว 0.4 จุดเปอร์เซ็นต์ในเดือนตุลาคม ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นรายเดือนที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงการระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่อีกหลายแสนคนที่ยังต้องทำงานต่อโดยไม่ได้รับเงินเดือนในทันที เช่น เจ้าหน้าที่ความมั่นคงและทหาร ทำให้ครอบครัวจำนวนมากต้องเผชิญแรงกดดันทางการเงินอย่างหนัก
วิกฤตยังขยายไปถึงโครงการช่วยเหลือด้านอาหาร (SNAP) ซึ่งเป็นแหล่งพึ่งพาของชาวอเมริกันกว่า 40 ล้านคนทั่วประเทศ โดยเงินทุนสำรองของโครงการได้หมดลงแล้วตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน แม้ศาลรัฐบาลกลางสองแห่งจะมีคำสั่งให้รัฐบาลต้องดำเนินการจ่ายเงินต่อโดยใช้ “กองทุนฉุกเฉิน” มูลค่ารวมประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์ แต่ศูนย์วิจัยนโยบายเพื่อครอบครัวรายได้น้อย (CBPP) เตือนว่ากองทุนดังกล่าวเพียงพอสำหรับผู้รับสิทธิ์เพียงราว 60% ในหนึ่งเดือนเท่านั้น เนื่องจากค่าใช้จ่ายของโครงการอยู่ที่ประมาณ 8.5-9 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือน
ท่ามกลางแรงกระแทกจากทุกทิศทาง นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากเตือนว่า การชัตดาวน์ครั้งนี้อาจสร้างผลเสียที่ลึกและยืดเยื้อกว่าที่คาดไว้ ไม่เพียงทำให้เศรษฐกิจสะดุดในระยะสั้น แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจในระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังอ่อนแรงจากอัตราดอกเบี้ยสูงและความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ
ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่เริ่มชะลอตัวมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ กำลังเผชิญแรงกระแทกหนักขึ้นจากภาวะชัตดาวน์ นายจ้างจำนวนมากชะลอการจ้างงานเพราะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและนโยบาย ขณะเดียวกันหลายบริษัทเริ่มหันไปทดลองใช้เทคโนโลยีใหม่อย่างปัญญาประดิษฐ์ ส่งผลให้เกิดการปลดพนักงานในวงกว้าง
หอการค้าสหรัฐฯ ประเมินว่า ผู้รับเหมารายย่อยกว่า 65,000 รายมีความเสี่ยงสูญเสียเงินค้างชำระรวมกว่า 12,000 ล้านดอลลาร์ภายในเดือนเดียว ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์แรงงานจาก ZipRecruiter ระบุว่า การลดอัตราดอกเบี้ยและข้อตกลงทางการค้าควรช่วยกระตุ้นการจ้างงานในปี 2569 แต่หากชัตดาวน์ยืดเยื้อ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงอาจทำให้ตลาดแรงงานซบเซายาวนานกว่าที่คาดไว้
ด้านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ The Conference Board ในเดือนตุลาคมยังลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบหกเดือน หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าในวงกว้างเมื่อต้นปี
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ทำให้การเจรจาต่อรองงบประมาณยังไม่คืบหน้า คือข้อขัดแย้งเรื่องงบต่ออายุเงินอุดหนุนเบี้ยประกันสุขภาพภายใต้กฎหมาย Affordable Care Act ฝ่ายเดโมแครตต้องการให้รวมงบดังกล่าวไว้ในร่างงบชั่วคราว เพื่อไม่ให้ประชาชนเสียสิทธิ์ ขณะที่พรรครีพับลิกันยืนยันไม่ยอมเปิดการเจรจาใด ๆ จนกว่ารัฐบาลจะกลับมาเปิดทำการ
การลงทะเบียนประกันสุขภาพรอบใหม่มีกำหนดเริ่มวันที่ 1 พฤศจิกายน ซึ่งหากยังไม่สามารถตกลงกันได้ ชาวอเมริกันกว่า 22 ล้านคนอาจต้องจ่ายเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง 26% นอกจากนี้ ศูนย์ Head Start ใน 41 รัฐและเปอร์โตริโก ที่ให้บริการการศึกษาปฐมวัยแก่เด็กจากครอบครัวยากจนกว่า 65,000 คน ก็อาจต้องหยุดดำเนินงานเพราะขาดงบประมาณสนับสนุน
การปิดศูนย์เหล่านี้จะส่งผลโดยตรงต่อครอบครัวรายได้น้อย เพิ่มภาระค่าใช้จ่าย และบีบให้ผู้ปกครอง โดยเฉพาะผู้หญิง ต้องลาออกจากงานเพื่อดูแลบุตร ซึ่งจะซ้ำเติมปัญหาการจ้างงานและชะลอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวม
โจ บรูซเวลาส หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก RSM US ระบุว่า ทุกวันที่การชัตดาวน์ยังดำเนินต่อไป คือการสร้าง “ช่องว่างทางเศรษฐกิจที่ไม่สามารถกู้คืนได้” เพราะไม่ใช่เพียงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ถูกเลื่อนออกไปเท่านั้น แต่คือกิจกรรมที่หายไปโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงาน การเดินทาง หรือการจับจ่ายใช้สอยในช่วงวันหยุด
หากการชัตดาวน์ยืดเยื้อไปจนถึงช่วงวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ภาคธุรกิจ และนักลงทุนจะรุนแรงจน “ยากจะฟื้นกลับได้ในระยะสั้น” โดยเฉพาะเมื่อดัชนีตลาดหุ้นเริ่มตอบสนองในทิศทางลบอย่างต่อเนื่อง
แม้การใช้จ่ายของผู้บริโภคจะยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และแสดงความแข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมา แต่นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า สถานการณ์นี้สะท้อน “เศรษฐกิจสองขั้ว” ที่คนมีรายได้สูงยังคงใช้จ่ายได้ตามปกติ ขณะที่ครัวเรือนรายได้ปานกลางและรายได้น้อยเริ่มรับภาระหนักขึ้นเรื่อย ๆ และอาจกลายเป็นแรงกดดันต่อการเติบโตในระยะถัดไป
นักวิเคราะห์มองว่า การชัตดาวน์ที่ยืดเยื้ออาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อภาวะราคาในสองทิศทาง ด้านหนึ่ง ปัญหาการส่งออกและความติดขัดในซัพพลายเชนอาจดันราคาสินค้าให้สูงขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่ง เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงจะทำให้ภาคธุรกิจปรับขึ้นราคาสินค้าได้ยากกว่าเดิม
แม้ทิศทางสุดท้ายของผลกระทบยังไม่สามารถประเมินได้แน่ชัด แต่โดยรวมแล้ว สถานการณ์นี้อาจกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ต้องเดินหน้าลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง เพื่อประคับประคองตลาดแรงงานที่เริ่มส่งสัญญาณอ่อนแรงลง