ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ปั่นป่วนมากขึ้นกว่าเดิมตั้งแต่ ประธานาธิบดี สหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีนำเข้ากับประเทศต่างๆทั่วโลก ในเวลาเดียวกันที่การรับมือในวันที่เกมการค้าโลกไม่แน่นอน ไทยเราซึ่งเป็นประเทศที่เศรษฐกิจพึ่งพาการส่งออกเกินครึ่งของ GDP ก็เผชิญปัญหาเก่าที่หมุนวนซ้ำกลับมาที่เดิมนั่นก็คือ “การเมืองภายใน”
สุญญากาศทางการเมืองนับจากศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมถึงครม.ทั้งคณะ ทำให้ประเทศไทยนับจากนี้ กำลังรอความชัดเจนว่า การเมืองจะมีทางออกอย่างไร ใครกำลังจะขึ้นมาเป็นรัฐบาล ในขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจกำลังบั่นทอนชีวิตของคนไทยให้ยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ
ภายในงาน “SME ต้องรอด 2025: ปลดล็อกศักยภาพธุรกิจไทย พลิกเกม สร้างโอกาสเติบโต” โดย Live Platform ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดขึ้นเมื่อ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา มีมุมมองที่ทำให้เรามองเห็นอนาคตเศรษฐกิจไทย ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง รวมไปถึงผู้ประกอบการ SME ซึ่งเป็นเส้นเลือดหลักของประเทศจะมีทางรอดอย่างไรได้บ้าง
ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงาน Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ ขึ้นพูดในหัวข้อ Thailand Business Outlook ฝ่าคลื่นเศรษฐกิจ มองหาโอกาสใหม่ ให้มุมมองเกี่ยวกับความท้าทายของเศรษฐกิจไทย และ แนวทางการปรับตัวของ SME
โดยประเมินว่า เศรษฐกิจไทย ปีนี้จะโตได้ 1.8% มาจากครึ่งแรก โต 3% แต่ครึ่งหลังจะเหลือ 0.7-0.8% เพราะเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายภาคการส่งออกไทยจากปัญหาภาษีสหรัฐอเมริกา ขณะที่แรงขับเคลื่อนจากภาครัฐหายไปจากประเด็นทางการเมือง จะทำให้เศรษฐกิจไทยแผ่ว และไม่วิกฤตเหมือนปี 40 แต่โตน้อยและส่งผลชะลอต่อเนื่องถึงปีหน้า คาดปี 2026 GDP ไทยโตเหลือ 1.5% ส่วนปี 2027 โต 2.0%
สงครามการค้า ทำให้อุปสงค์ต่างประเทศอ่อนแรงลง - แม้ระดับภาษี Reciprocal Tariffs ที่เราได้ 19% อยู่อันดับที่ 25 ถือว่าใกล้เคียงกับเพื่อนบ้านอาเซียน แต่ระดับภาษีที่อาเซียนได้ถือว่าสูงเฉลี่ย 23% อย่างไรก็ตามนอกจากภาษี 19% แล้วยังมีภาษีอีกตัวคือ Sectoral tariffs ที่เก็บจากกลุ่มสินค้าบางอย่างโดนในอัตราที่สูง แยกออกจากภาษี 19% ตัวอย่างเช่นเหล็ก 50% รถยนต์ 25% ทองแดง 50%
ดังนั้นแม้ว่าขณะนี้ประเด็นการเก็บภาษีของทรัมป์ จะต้องรอศาลสูงสุดตัดสินว่า ชอบต่อกฏหมายหรือไม่ และต่อให้ศา ตัดสินว่า reciprocal tariff ผิดกฏหมาย แต่ Sectoral tariff จะยังคงมีอยู่ ดังนั้นความไม่แน่นอนของภาษียังคงมีอยู่ต่อไป
ทั้งนี้ ดร.ยรรยง มองว่า การส่งออกครึ่งปีหลังมีโอกาสจะติดลบ 7-8% และลามไปจนถึงปีหน้า เพราะมีหลายปัจจัยไม่เอื้ออำนวยต่อการส่งออก เช่น ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาถึง6% เสียเปรียบเวียดนามไปถึง 10% แต้มต่อค่าเงินบาทหายไป ส่วนสินค้าจากจีน เป็นอีกส่วนที่ไทยเสียเปรียบ ไทยนำเข้าเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า ในขณะที่ภาคการผลิตของผู้ประกอบการไทยหดตัว
ขณะที่เศรษฐกิจโลกในช่วง 3 ปีจากนี้คาดว่า ปี 2025 โต 2.4 % ปี 2026 โต 2.4%และปี 2027 โต 2.7% ซึ่งเป็นระดับการเติบโตที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยก่อนโควิดที่เศรษฐกิจโลกโต 3% และขณะนี้ยังมีแนวโน้มว่าเงินเฟ้อของโลกอาจจะสูงขึ้น
ที่ผ่านมานโยบายภครัฐเคยเป็นตัวช่วยเศรษฐกิจไทย แต่ปัจจุบันมีข้อจำกัดมากขึ้น ฐานะการคลังของไทยแย่ลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่โตต่ำ รายได้พลาดเป้า แต่รายจ่ายสูงขึ้น Moody s เริ่มปรับปรุงมุมมองประเทศไทยเป็น Negative จากปัจจัยการคลัง และมีโอกาสที่หนี้สาธารณะอาจแตะเพดาน ที่ 70%
ส่วนนโยบายการเงินแบงก์ชาติ เริ่มลดดอกเบี้ยมากขึ้นแล้วแต่เชื่อว่าปีนี้จะลดลงอีก 1 ครั้ง คาดว่าดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 1.0% หรือมีโอกาสต่ำกว่า 1% ได้เพราะหากเอาดอกเบี้ยนโยบายหักด้วยเงินเฟ้อจะเห็นว่า ดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบแล้ว ดังนั้น ดอกเบี้ยนโยบายจึงอยู่ในระดับสูงอยู่ คาดว่า จากนี้ดอกเบี้ยจะต่ำค่อนข้างนาน
ส่วนคำแนะนำสำหรับทางรอดของSME คือ ลดต้นทุน หาโอกาสในการใช้ AI บริหารความเสี่ยง ขยับบทบาท Value chain จากผู้รับคำสั่ง สู่ Value creator และพลิกวิกฤติเป็นโอกาส
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ขึ้นพูดในหัวข้อ Reshape SME พลิกโฉมธุรกิจไทยให้โตไกล ด้วยนวัตกรรมและพลังดิจิทัล มองถึง ความท้าทายของธุรกิจ SME ต้องเจอ และการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาเป็นโอกาสรอดในธุรกิจ
แม้ว่าครึ่งปีแรกการส่งออกเรายังเติบโตได้ดี เราได้ภาษี Reciprocal taeiff 19% อยู่ในอัตราที่น่าพอใจหากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ก็สูงขึ้นจากอดีตเราเคยจ่ายภาษีให้สหรัฐฯอยู่เพียงแค่ 2% เท่านั้น นอกจากนี้สินค้าไทยยังมีความท้าทายสำหรับ SME โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นทางผ่านจากจีนมาไทยจากไทยไปสหรัฐฯเราต้องแก้ปัญหาให้ได้โดยเฉพาะความชัดเจนของกฏเกณฑ์ จาก Local Content 40% เป็น 60-70%
สินค้าจีนเข้า ความเชื่อมั่นของ SME พบว่า ขณะนี้ถูกกระทบ 24 กลุ่ม จาก 47 กลุ่มแล้ว หากเราไม่ทำอะไร สินค้าจีน จะกระทบมากขึ้นเป็น 30 กลุ่มในปีนี้อย่างแน่นอน
4 ปีที่แล้ว เราเจอสถานการณ์รัสเซีย ยูเครน / อิสราเอล ฮามาส ซึ่งในอดีตผลคือ น้ำมันแพง ของแพง จากต่างประเทศ และล่าสุดแจ็คพอต คือ ปัญหาชาบแดนไทย-กัมพูชา
ไทย-กัมพูชา มีมูลค่าการค้าขายระหว่างกันสูงถึง 1.8 แสนล้านบาท หากคิดต่อวันเรามีมูลค่าการซื้อขาย 500 ล้านบาท เราขาย 400 ล้าน ซื้อจากกัมพูชา 100 ล้านบาท ขณะนี้ การที่ชายแดนปิดกระทบกับการค้าอย่างหนัก จะทำอย่างไรให้ทั้ง 2 ประเทศกลับมาพูดคุยกันได้
หนี้ครัวเรือนไทยสูง 90% ของGDP สูงอันดับต้นๆของโลก ส่วนหนี้นอกระบบของไทยสูงมาก รวมกับหนีในระบบทะลุ 100 %
จะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับ sme ต่อไป เพราะปัญหาภัยธรรมชาติกระทบคนทั้งโลก
นักท่องเที่ยวจีนหายไปมากได้ทดแทน จากรัสเซีย อิสราเอล แต่ยอดหายไปเยอะ เป็นภาคส่วนเดียวที่จะอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้เร็วที่สุดแต่จะต้องให้เงินกระจายไปยังเมืองรองต่างๆ เพื่อให้ถึงมือคนไทมย
เรายังไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดกับการเมือง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ถ้าการเมืองมีเสถียรภาพจะได้รัฐบาลที่มีสมาธิในการบริหารประเทศ เศรษฐกิจก็อาจจะมีความหวังมากขึ้น แต่สถานการณ์ขณะนี้ ไม่รู้ว่า จะได้รัฐบาลเมื่อไหร่ คาดว่า 6 เดือนที่ไม่แน่นอน สุญญากาศตรงนี้เอกชนต้องมาคุยกันว่า จะปรับอย่างไร
SME คือ คนส่วนใหญ่ของประเทศมีจำนวน 3.27 ล้านราย คิดเป็น 99.5% ของวิสาหกิจทั้งหมดคิดเป็นการจ้างงาน 68.8% ของการจ้างงานทั้งหมด หรือ 13.4 ล้านคน ขณะที่ GDP ที่SME สร้างได้ 34.9% ถือว่า สัดส่วนยังน้อยต่อเศรษฐกิจ
1.ขาดความรู้ในการประกอบธุรกิจ
2.เทคโนโลยีและนวัตกรรม
3.การเข้าถึงช่องทางการตลาด
4.ปัญหาด้านการเงิน
5.ข้อมูลไม่ทันสมัย ใช้ยาก แระจัดกระจาย
6.ขาดมตรฐาน
7.ขาดแรงงานที่มีทักษะ
8.กฏหมาย กฏระเบียบไม่เอื้อต่อธุรกิจ
9.SMEs ยังไม่เข้าสู่้ระบบการพัฒนาจากภาครัฐ
สภาอุตสาหกรรมมีสมาชิก 16,000 บริษัท 47 กลุ่มอุตสาหกรรม โดย 80% เป็น SME ปัญหาที่พบจะคล้ายกัน คือในอุตสาหกรรมเก่าบางอย่างอยู่ยาก แต่โลกแห่งอนาคตมีบางอุตสาหกรรมที่ไปต่อได้และมีโอกาส
1.S Curve Industry - เพิ่มสิทธิการลงทุนและส่งเสริมอุตสาหกรรมฐานนวัตกรรม มี 5 กลุ่มที่จะต้องปรับเปลี่ยน เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เปลี่ยนเป็นรถยนต์ไฟฟ้าให้เร็วที่สุด
2.BCG - เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจชีวภาพ และ เศรษฐกิจสีเขียว
3.ความยั่งยืน Sustainability - เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดคา่ร์บอนไดออกไซต์ เป้าหมายไทย NET Zero 2065
1. GO Digital & AI - ยกระดับอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ ตั้งเป้า 8,000 บริษัทหรือ 50% ของสมาชิก ต้องพัฒนาไปสู่ AI
2. GO Innovation - นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรม
3.Go Green ขับเคลื่อนองค์กรสู่การพัฒนาอย่างยัางยืนและมุ่งสู่เป้าหมาย NET Zero
4.GO Global - พัฒนาสินค้าและบริการไทย เพื่อขยายโอกาสสู่ตลาดโลก
ปัจจุบันสอท.มีพัฒนาSME 2 หลักสูตร เพื่อพัฒนาศักยภาพและโอกาสสำหรับ SME/Startups 77 บริษัท ให้ระดมทุนได้จริง และเติบโตได้จริง