แม้จะมีความตึงเครียดทางการเมืองและการปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา แต่ตัวเลขการค้าในช่วงครึ่งปีแรกของ 2568 กลับสะท้อนทิศทางที่ยังเติบโตอย่างมั่นคง
กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า มูลค่าการค้ารวมระหว่างไทยและกัมพูชาในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายนอยู่ที่ 95,147 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.60% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเมื่อแยกเป็นรายด้าน พบว่าไทยส่งออกสินค้าไปยังกัมพูชา 72,447 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.33% ขณะที่การนำเข้าสินค้าจากกัมพูชาอยู่ที่ 22,699 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.52% ส่งผลให้ไทยได้ดุลการค้าอยู่ที่ 49,748 ล้านบาท
ด่านชายแดนที่มีบทบาทสำคัญต่อการค้าระหว่างสองประเทศ ได้แก่ ด่านอรัญประเทศ ซึ่งมีมูลค่าการค้ารวมสูงที่สุดที่ 60,432 ล้านบาท รองลงมาคือ ด่านคลองใหญ่ ที่มีมูลค่าการค้า 15,677 ล้านบาท และ ด่านจันทบุรี ที่ 14,696 ล้านบาท ส่วนด่านที่มีความสำคัญรองลงไป เช่น ด่านช่องจอม แม้จะมีมูลค่าการค้ารวมไม่สูงนัก แต่ยังคงเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญในระดับภูมิภาค
สินค้าหลักที่ไทยส่งออก ประกอบด้วยเครื่องดื่มปรุงรส น้ำแร่ เครื่องยนต์สันดาปภายใน และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเบา ขณะที่ฝั่งกัมพูชาส่งเข้ามายังไทยในรูปของผักและผลิตภัณฑ์จากผัก เศษโลหะ และสายเคเบิลหุ้มฉนวน
อย่างไรก็ตาม นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ระบุว่า ความไม่แน่นอนตามแนวชายแดนอาจเริ่มส่งผลกระทบในช่วงครึ่งปีหลัง โดยคาดว่าผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้การค้าชายแดนและผ่านแดนไทย–กัมพูชาลดลงประมาณ 1% จากเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะขยายตัว 3% เหลือเพียง 2% ตลอดทั้งปี
เพื่อรับมือกับความเสี่ยงดังกล่าว กรมฯ ได้มีการประสานงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคง พาณิชย์จังหวัด และสภาธุรกิจเอกชน เพื่อรวบรวมข้อมูลผลกระทบด้านการขนส่ง วิเคราะห์เส้นทางทางเลือก และเตรียมมาตรการสนับสนุนเชิงนโยบาย นอกจากนี้ ยังได้จัด มหกรรมการค้าชายแดน ที่จังหวัดหนองคายและเชียงใหม่ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อเปิดเวทีให้ภาคเอกชนได้เชื่อมโยงการค้าและขยายตลาด
นับตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป กรมฯ วางแผนลงพื้นที่ประชุมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ชายแดน เพื่อรับฟังปัญหาจากผู้ประกอบการ และเดินหน้าจัดมหกรรมการค้าอีก 6 ครั้ง ภายในปีนี้ เพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นมูลค่าการค้าชายแดนให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน การค้าชายแดนของไทยกับ 4 ประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา และมาเลเซีย ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 มีมูลค่ารวม 1.022 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.02% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนนี้ แบ่งออกเป็น
การค้าชายแดนโดยตรงกับประเทศเพื่อนบ้านอยู่ที่ 506,061 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 2.15% โดยส่งออกคิดเป็น 308,248 ล้านบาท และนำเข้า 197,813 ล้านบาท ทำให้ไทยได้ดุลการค้า 110,436 ล้านบาท เมื่อแยกตามประเทศ พบว่า
สินค้าเด่นในการส่งออกยังคงรวมถึง น้ำมันดีเซล, น้ำตาลทราย, เครื่องดื่ม, แผงวงจรไฟฟ้า, คอมพิวเตอร์, และสินค้าเกษตรแปรรูปหลากหลายชนิด
อีกหนึ่งมิติที่สะท้อนศักยภาพของไทยในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาคคือ การค้าผ่านแดนไปยังประเทศที่สาม โดยในช่วงครึ่งปีแรก การค้าผ่านแดนมีมูลค่ารวม 516,183 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.23% แบ่งเป็นการส่งออก 288,012 ล้านบาท (↑25.88%) และการนำเข้า 228,171 ล้านบาท (↑20.11%) ส่งผลให้ไทยได้ดุลการค้า 59,842 ล้านบาท
จีนตอนใต้ เป็นปลายทางหลักของการค้าผ่านแดน โดยมีมูลค่าถึง 314,626 ล้านบาท (↑28.82%) รองลงมาคือ สิงคโปร์ (66,851 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.81% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า) และ เวียดนาม (38,261 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.50% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า)
สินค้าที่ขนส่งผ่านแดนส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงและต้องการการจัดการที่รวดเร็ว เช่น ทุเรียนสด, ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์, ผลิตภัณฑ์ยาง, แผงวงจรไฟฟ้า, และ สินค้าปศุสัตว์
แม้ความเสี่ยงจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ยังคงอยู่ แต่ภาพรวมของการค้าชายแดนไทยในปี 2568 แสดงถึงความยืดหยุ่นของภาคธุรกิจและบทบาทของรัฐในการสนับสนุนเส้นทางการค้าอย่างต่อเนื่อง ในระยะถัดไป ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนจะเป็นหัวใจสำคัญในการรักษาโมเมนตัมการเติบโตในภูมิภาคนี้