การสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่นักเศรษศาสตร์ ประเมินว่า กัมพูชาน่าจะได้รับผลกระทบมากกว่าไทย เพราะพึ่งพาสินค้าจากไทย และกัมพูชาพึ่งพารายได้จากแรงงานที่ออกมาทำงานต่างประเทศด้วย
แม้จับมือหยุดยิง แต่ยังคงมีรายงานว่า ทหารกัมพูชายังคงมีการยิงเข้ามาในฝั่งไทย โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ พร้อมฟื้นการเจรจาการค้ากับทั้งไทยและกัมพูชาอีกครั้งเมื่อ 2 ประเทศเลิกสู้รบกัน….แต่หากสถานการณ์ยังไม่สงบ กัมพูชายังไม่หยุดยิง ความเสี่ยงทัั้งความมั่นคง และ ความเสี่ยงทั้งเศรษฐกิจก็จะเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะใกล้เส้นตายภาษีทรัมป์ 1 ส.ค.ที่กำลังจะมาถึงในอีก 2 วันนี้แล้ว
ศึกชายแดนไทย-กัมพูชา สำคัญกับประเทศอย่างมากต้องรักษาอธิปไตยของชาติไว้ แต่เศรษฐกิจและปากท้องจากนี้ก็สำคัญเช่นกัน แต่ทำไมกัมพูชา ตัดสินใจเปิดฉากสู้รบ…หรือการเมืองในประเทศสำคัญกว่าเศรษฐกิจและปากท้องของคนในชาติไปแล้วหรือไม่? บทความนี้ ชวนไปรู้จักกับเศรษฐกิจกัมพูชาให้มากขึ้น
ในอดีตเศรษฐกิจของกัมพูชาเคยยากจนที่สุดประเทศหนึ่งในโลก เริ่มขยับอยู่ในสถานะ "ประเทศรายได้ปานกลางระดับล่าง" ในปี 2015 และตั้งเป้าจะเป็น “ประเทศรายได้ปานกลางระดับบน” ภายในปี 2030 และหวังจะเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2050
GDP กัมพูชา เติบโตเฉลี่ยกว่า 7% ต่อปี ระหว่างปี 1995 ถึง 2019 โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจาก แรงงานราคาถูก ส่งออกเสื้อผ้า สินค้าเกษตร การท่องเที่ยว และอสังหาริมทรัพย์ เมืองต่าง ๆ อย่างพนมเปญและสีหนุวิลล์ เติบโตอย่างรวดเร็ว โรงงานผุดขึ้นทั่วประเทศ
แต่เมื่อต้องเจอโควิด-19ระบาด ส่งผลให้เศรษฐกิจกัมพูชาหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี ในปี 2020 เศรษฐกิจหดตัวลง 3.1% จากผลกระทบโดยตรงของการล็อกดาวน์ การหยุดชะงักของการท่องเที่ยว และการค้าชายแดน ในช่วงหลังโควิด เศรษฐกิจของประเทศค่อย ๆ ฟื้นตัว โดยเติบโต 3.0% ในปี 2021 และ 5.2% ในปี 2022 สำหรับปี 2024 ที่ผ่านมาโตได้เกือบ 6.0%
อย่างไรก็ตาม การเติบโตที่ดูเหมือนสดใสนี้ กำลังถูกท้าทายจากปัจจัยภายนอกที่เปราะบางมากขึ้นในปี 2025
การเติบโตของกัมพูชาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแม้จะรวดเร็ว แต่ก็แลกมาด้วย "ความเปราะบางในเชิงโครงสร้าง" ที่ชัดเจน ทั้งในด้านโครงสร้างเศรษฐกิจ การลงทุน และความเสี่ยงภายนอก โดยสามารถสรุปได้เป็นประเด็นสำคัญดังนี้:
แต่เมื่อฟองสบู่อสังหาฯ เริ่มแตก หนี้เสียในระบบการเงินเพิ่มขึ้น ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เคยเป็นพลังผลักเศรษฐกิจกลับกลายเป็นจุดเปราะ ประกอบกับคุณภาพแรงงานที่ยังอ่อนแอ แม้อัตราการรู้หนังสือของคนกัมพูชาจะสูงขึ้นกว่าในอดีตมากแล้ว แต่จากข้อมูลพบว่า เด็กกัมพูชาเรียนจบแต่ไม่สามารถอ่านเขียนได้คล่องหรือคิดคำนวณพื้นฐานได้ ส่งอาจส่งผลต่อศักยภาพในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. InnovestX บริษัทการเงินการลงทุนในกลุ่ม SCBX กล่าวไว้ในรายการ SPOTLIGHT BizTalk อย่างน่าสนใจว่า
“เศรษฐกิจกัมพูชาในวันนี้ เหมือนประเทศไทยเมื่อ 40–50 ปีก่อน”
รายได้ต่อหัวของชาวกัมพูชาอยู่เพียง 2,000–3,000 ดอลลาร์สหรัฐ ต่ำกว่าเวียดนาม (ราว 5,000 ดอลลาร์) และไทย ( ราว 7,000 ดอลลาร์) เศรษฐกิจยังพึ่งพาสินค้าเกษตร สิ่งทอ และอสังหาฯ ขณะที่โครงสร้างสังคม การศึกษา และการบริหารจัดการ ยังตามหลังประเทศเพื่อนบ้านหลายช่วงตัว
ความรุนแรงที่ชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา ไม่เพียงส่งผลต่อความมั่นคง แต่ยังซ้ำเติมความเปราะบางของเศรษฐกิจกัมพูชาอย่างชัดเจน
ไทยอาจได้รับผลกระทบบ้างในระดับแรงงานชายแดนและ SMEs ที่พึ่งพาตลาดกัมพูชาแต่ กัมพูชาจะสูญเสียมากกว่า
ที่น่าหดหู่ยิ่งกว่าคือ การตัดสินใจสู้รบเช่นนี้ สะท้อนว่า "การเมือง" ถูกให้ความสำคัญเหนือกว่าปากท้องของประชาชน แม้จะมีการประกาศหยุดยิง แต่สัญญาณที่เห็นยังไม่ใช่ "สันติภาพ"
เส้นทางข้างหน้าไม่ได้ง่าย ความเสี่ยงรุมเร้า ทั้งจากเศรษฐกิจโลก ความไม่มั่นคงภายใน ทักษะ ความรู้ของแรงงานที่ยังไม่พร้อม ในวันที่ประเทศกำลังเดินทางไกลบนเส้นทางแห่งการพัฒนา“การตัดสินใจของผู้นำในวันนี้...อาจกำหนดชะตาของประเทศไปอีกนาน”
ที่มา : world bank ,AMRO , InnovestX