ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาได้สร้างความกังวลให้หลายฝ่าย โดยเฉพาะในมิติด้านเศรษฐกิจ หากสถานการณ์ลุกลามจนต้องปิดด่านชายแดน หรือเกิดเหตุความไม่สงบ อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อการค้าขายชายแดน ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของชาวบ้านและผู้ประกอบการในพื้นที่
จากการประเมินของกระทรวงพาณิชย์ หากต้องมีการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา 3 แห่งหลัก ได้แก่ ด่านอรัญประเทศ ด่านคลองใหญ่ และด่านจันทบุรี มูลค่าการค้าชายแดนจะหายไปถึง 90% จากมูลค่ารวมประมาณ 174,530 ล้านบาท (ปี 2567) โดยเฉพาะด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งเพียงแห่งเดียวคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 60% ของการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาทั้งหมด
ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของระบบการค้าชายแดนในภาพรวม ซึ่งประเทศไทยมีการค้าผ่านด่านกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา มาเลเซีย สปป.ลาว เมียนมา รวมทั้งสิ้น 44 ด่าน ใน 22 จังหวัดทั่วประเทศ โดยเส้นทางการค้าเหล่านี้ไม่เพียงแต่เชื่อมโยงเศรษฐกิจของประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมวัฒนธรรมและสังคมระหว่างประชาชนสองฝั่งชายแดน
ในบทความนี้ SPOTLIGHT จึงอยากพาผู้อ่านไปสำรวจภาพรวมการค้าชายแดนของไทยกับทั้ง 4 ประเทศเพื่อนบ้านในปี 2568 (ม.ค. -เม.ย.) ว่ามีมูลค่าเท่าใด? และด่านใดมีบทบาททางเศรษฐกิจสูงสุด?
กรมการค้าต่างประเทศเปิดเผยว่า การค้าชายแดนและผ่านแดนของไทยในปี 2568 เดือนมกราคาถึงเมษายน มีมูลค่าสูงถึง 632,397 ล้านบาท ขยายตัว 10.13% จากปีก่อนหน้า โดยมีมูลค่าส่งออกอยู่ที่ 352,678 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.91% ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 279,719 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.05% ส่งผลให้ไทยได้ดุลการค้าสุทธิถึง 72,959 ล้านบาท
ใน 4 เดือนแรกของปี 2568 การค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านทั้ง 4 ประเทศหลัก ได้แก่ มาเลเซีย สปป.ลาว เมียนมา และกัมพูชา มีมูลค่ารวม 344,032 ล้านบาท ขยายตัว 5.29% จากปีก่อน โดยไทยส่งออกได้ 206,296 ล้านบาท และนำเข้า 137,736 ล้านบาท คิดเป็นดุลการค้าเกินดุล 68,560 ล้านบาท
ประเทศที่มีมูลค่าการค้าชายแดนมากที่สุดในระยะเวลาดังกล่าว คือ ‘สปป. ลาว’ อยู่ที่ 106,512 ล้านบาท ขยายตัว 3.54% ตามด้วย มาเลเซีย 101,951 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.49% ส่วนเมียนมามีมูลค่าเพิ่มขึ้น 0.48% อยู่ที่ 70,957 ล้านบาท ขณะที่กัมพูชาขยายตัว 12.31% อยู่ที่ 64,612 ล้านบาท
ในส่วนของการค้าผ่านแดนหรือการส่งสินค้าไปยังประเทศที่สาม มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 288,365 ล้านบาท ขยายตัว 16.52% โดยเป็นการส่งออก 146,382 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 16.71% ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 141,983 ล้านบาท ขยายตัว 16.33% คิดเป็นดุลการค้าเกินดุล 4,399 ล้านบาท
ประเทศปลายทางสำคัญในการค้าผ่านแดนคือ ‘จีน’ ซึ่งมีมูลค่าการค้ารวม 168,320 ล้านบาท ขยายตัว 22.25% ตามด้วยสิงคโปร์ที่ 39,234 ล้านบาท และเวียดนามที่ 23,116 ล้านบาท
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เป็นหนึ่งในคู่ค้าชายแดนสำคัญของไทย และเป็นประเทศที่มีมูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดนรวมสูงที่สุดใน 4 ประเทศ โดยใน 4 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการค้ารวมระหว่างไทยกับลาว (รวมทั้งชายแดนและผ่านแดน) อยู่ที่ 276,213 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.19% จากปีก่อนหน้า
การส่งออกมีมูลค่า 136,425 ล้านบาท ขยายตัว 3.93% ส่วนการนำเข้าอยู่ที่ 139,788 ล้านบาท เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าคือ 17.08% ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าอยู่ที่ 3,363 ล้านบาท
การค้าระหว่างสองประเทศนี้กระจายตัวผ่านช่องทางชายแดนจำนวนมาก โดยไทยมีด่านพรมแดนที่เชื่อมต่อกับลาวทั้งสิ้น 20 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ 10 จังหวัด ตั้งแต่ภาคเหนือถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีด่านมากที่สุด 4 แห่ง ได้แก่ ด่านเชียงของ ด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 ด่านเชียงแสน และด่านสามเหลี่ยมทองคำ ถัดมาคือจังหวัดพะเยา (ด่านบ้านฮวก) และจังหวัดน่าน (ด่านบ้านห้วยโก๋น) ส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์มีด่านบ้านภูดู่เชื่อมต่อกับแขวงไชยะบุรี
ในภาคอีสาน จังหวัดเลยมีด่าน 4 แห่ง เช่น ด่านสะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำเหือง และด่านเชียงคาน ขณะที่จังหวัดหนองคายมีด่านสำคัญ 2 แห่ง คือด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 1 และด่านท่าเสด็จ จังหวัดบึงกาฬมีด่านพรมแดนที่อำเภอเมืองบึงกาฬ ส่วนจังหวัดนครพนมมีด่านเมืองนครพนม และด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3 จังหวัดมุกดาหารมีด่านเมืองมุกดาหาร และสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 2 และจังหวัดอุบลราชธานีมีด่านปากเซงและช่องเม็กซึ่งเชื่อมกับแขวงจำปาสัก
เฉพาะมูลค่าการค้าชายแดนระหว่างไทยกับลาวอยู่ที่ 106,512 ล้านบาท ขยายตัว 3.54% คิดเป็น 95.6% ของมูลค่าการค้าระหว่างไทยลาวทั้งหมดใน 4 เดือนแรกของปี 2568 ซึ่งมีมูลค่า 111,454.51 ล้านบาท โดยการส่งออกคิดเป็น 60,002 ล้านบาท ลดลง 2.97% และการนำเข้าอยู่ที่ 46,511 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากถึง 13.35% ส่งผลให้ไทยได้ดุลการค้า 13,491 ล้านบาท
สินค้าหลักที่ไทยส่งออก ได้แก่ น้ำมันดีเซล น้ำมันสำเร็จรูป และน้ำตาลทรายขาว ส่วนสินค้าที่นำเข้าจากลาวจำนวนมากคือ เชื้อเพลิง ผักและของปรุงแต่งจากผัก รวมถึงไดโอด ทรานซิสเตอร์ และอุปกรณ์กึ่งตัวนำต่างๆ
สำหรับมูลค่าการค้าผ่านแดนซึ่งดำเนินการผ่านลาวไปยังประเทศที่สาม โดยเฉพาะจีน ถือว่ามีบทบาทอย่างมาก โดยมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 169,701 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.83%
การส่งออกผ่านแดนมีมูลค่า 76,424 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.09% ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 93,277 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.03% โดยมีมูลค่าการค้าผ่านแดนไป-กลับกับจีนสูงที่สุด คิดเป็น 131,992 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเส้นทางโลจิสติกส์ไทย-ลาว-จีน โดยเฉพาะในบริบทของการค้าทางบกผ่านสะพานมิตรภาพและโครงข่ายรถไฟจีน-ลาว
ด่านศุลกากรที่มีบทบาททางเศรษฐกิจสูงสุด ได้แก่ ด่านมุกดาหาร ซึ่งมียอดส่งออก 53,170 ล้านบาท และนำเข้า 76,665 ล้านบาท รองลงมาคือด่านหนองคายที่มียอดส่งออก 31,604 ล้านบาท และนำเข้า 13,652 ล้านบาท ส่วนด่านครพนมก็มีมูลค่าการค้าสูงไม่น้อย โดยมีการส่งออก 21,058 ล้านบาท และนำเข้า 16,339 ล้านบาท
จากทิศทางที่ปรากฏชัดในปีนี้ การค้ากับ สปป.ลาว มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงเพราะการขยายตัวของการค้าชายแดน แต่ยังรวมถึงบทบาทในฐานะเส้นทางโลจิสติกส์เชื่อมโยงจีนกับอาเซียนตอนล่าง ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การค้าชายแดนของไทยที่มุ่งเสริมสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ทั้งในเชิงการค้า การลงทุน และระบบคมนาคม
ในปี 2568 มาเลเซียมีมูลค่าการค้าชายแดนรวม (รวมทั้งชายแดนและผ่านแดน) สูงถึง 217,366 ล้านบาท ขยายตัว 12.94% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า การส่งออกไปยังมาเลเซียอยู่ที่ 123,664 ล้านบาท ขยายตัวโดดเด่นถึง 12.95% ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 93,702 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.92% ส่งผลให้ไทยได้ดุลการค้าสุทธิกับมาเลเซีย 29,962 ล้านบาท
ชายแดนไทย-มาเลเซียมีช่องทางผ่านแดนสำคัญทั้งสิ้น 9 ด่าน ครอบคลุม 4 จังหวัดภาคใต้ของไทย ได้แก่ สงขลา นราธิวาส ยะลา และสตูล
หากพิจารณาเฉพาะมูลค่าการค้าชายแดน จะอยู่ที่ 101,951 ล้านบาท ขยายตัว 6.49% คิดเป็น 33.39% ของมูลค่าการค้าระหว่างไทยและมาเลเซียทั้งหมดใน 4 เดือนแรกของปี 2568 ซึ่งอยู่ที่ 305,329.08 ล้านบาท
การส่งออกมีมูลค่า 54,029 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.43% ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 47,921 ล้านบาท ขยายตัว 14.26% ส่งผลให้ไทยได้ดุลการค้าชายแดนกับมาเลเซีย 6,108 ล้านบาท
สินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปยังมาเลเซีย ได้แก่ น้ำยางข้น ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของอุตสาหกรรมแปรรูปยางในมาเลเซีย เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนส่วนประกอบยานยนต์และอุปกรณ์รถยนต์ ขณะที่สินค้านำเข้าที่สำคัญจากมาเลเซียประกอบด้วย เทปแม่เหล็ก จานแม่เหล็ก ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ และ อุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับตัดต่อวงจร
ในส่วนของการค้าผ่านแดน ซึ่งส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปยังประเทศที่สาม โดยเฉพาะสิงคโปร์ มีมูลค่ารวม 115,415 ล้านบาท ขยายตัว 19.32% แยกเป็นการส่งออก 69,635 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.05% และการนำเข้า 45,780 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.55% โดยมูลค่าการค้าผ่านแดนที่เกี่ยวข้องกับสิงคโปร์มีสัดส่วนสูงที่สุด คิดเป็น 39,156 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงบทบาทของมาเลเซียในฐานะเส้นทางเชื่อมโยงการค้าไทย-สิงคโปร์ที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์
ด่านศุลกากรสะเดาในจังหวัดสงขลายังคงเป็นจุดผ่านแดนที่มีมูลค่าการค้าโดยรวมสูงที่สุด โดยในปี 2568 มีการส่งออก 77,571 ล้านบาท และนำเข้า 76,364 ล้านบาท ขณะที่ด่านปาดังเบซาร์มีการส่งออก 44,039 ล้านบาท และนำเข้า 16,969 ล้านบาท สำหรับด่านเบตงในจังหวัดยะลา แม้จะมีมูลค่าน้อยกว่า แต่ยังคงมีบทบาทต่อการค้าชุมชนในพื้นที่ โดยมีการส่งออก 777 ล้านบาท และนำเข้า 25 ล้านบาท
ตัวเลขทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่า การค้าชายแดนกับมาเลเซียยังคงมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจภาคใต้ของไทย ทั้งในมิติของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม การเป็นประตูเชื่อมโยงไปยังตลาดระดับภูมิภาค และการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นและระดับรัฐ ซึ่งรัฐบาลไทยตั้งเป้าผลักดันการเติบโตนี้ให้ยั่งยืนยิ่งขึ้นในปี 2568 และต่อเนื่องจนถึงเป้าหมายปี 2570
กัมพูชาเป็นอีกหนึ่งประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์ทางการค้าใกล้ชิดกับไทย โดยใน 4 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการค้ารวมระหว่างไทยกับกัมพูชา (รวมชายแดนและผ่านแดน) อยู่ที่ 67,071 ล้านบาท ขยายตัว 12.42% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า การส่งออกจากไทยมีมูลค่า 50,541 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.68% ส่วนการนำเข้าอยู่ที่ 16,530 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.68% ส่งผลให้ไทยได้ดุลการค้ารวม 34,010 ล้านบาท
ชายแดนไทย–กัมพูชาเชื่อมโยงผ่านด่านศุลกากรทั้งสิ้น 7 ด่านใน 5 จังหวัด โดยจังหวัดศรีสะเกษมีด่านช่องสะงำ จังหวัดสุรินทร์มีด่านช่องจอม ขณะที่จังหวัดสระแก้ว ซึ่งเป็นประตูการค้าสำคัญมี 2 ด่าน ได้แก่ ด่านบ้านคลองลึก และด่านบ้านเขาดิน ส่วนจังหวัดจันทบุรีมีด่านบ้านแหลมและบ้านผักกาด และสุดท้ายจังหวัดตราดมีด่านบ้านหาดเล็ก เชื่อมต่อกับจังหวัดเกาะกงของกัมพูชา
มูลค่าการค้าชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาในปี 2568 อยู่ที่ 64,612 ล้านบาท ขยายตัว 12.31% คิดเป็น 51.2% ของมูลค่าการค้าทั้งหมดของไทยและกัมพูชาใน 4 เดือนแรกของปี 2568 ซึ่งอยู่ที่ 126,282.54 ล้านบาท โดยไทยส่งออกคิดเป็นมูลค่า 50,225 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.73% ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 14,387 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.38% ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้าในช่องทางชายแดนรวม 35,838 ล้านบาท
สินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปยังกัมพูชาในปีที่ผ่านมา ได้แก่ เครื่องดื่ม เครื่องยนต์สันดาปภายใน และน้ำแร่น้ำอัดลมปรุงรส ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทของกัมพูชาในฐานะตลาดปลายทางของสินค้าอุปโภคบริโภคและอุตสาหกรรมเบา ขณะที่ฝั่งสินค้านำเข้าสำคัญคือ ผักและของปรุงแต่งจากผัก เศษอะลูมิเนียม และลวดหรือสายเคเบิล ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับวัตถุดิบรีไซเคิลหรืออุตสาหกรรมขั้นต้น
ด่านศุลกากรที่มีบทบาทสำคัญในการค้าระหว่างสองประเทศคือด่านอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ซึ่งเป็นจุดผ่านแดนที่มีมูลค่าสูงสุด โดยมีการส่งออกถึง 30,576 ล้านบาท และนำเข้า 11,865 ล้านบาท รองลงมาคือด่านคลองใหญ่ จังหวัดตราด ที่มีการส่งออก 9,707 ล้านบาท และนำเข้า 1,328 ล้านบาท ส่วนด่านจันทบุรีมีการส่งออก 9,036 ล้านบาท และนำเข้า 982 ล้านบาท
ในส่วนของการค้าผ่านแดน แม้จะมีสัดส่วนไม่สูงมากนัก แต่ยังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีมูลค่ารวม 2,458 ล้านบาท ขยายตัว 15.22% การส่งออกมีมูลค่า 315 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.29% ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 2,143 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.21% โดยมูลค่าการค้าผ่านแดนที่เชื่อมโยงกับเวียดนามสูงที่สุด คิดเป็น 1,837 ล้านบาท สะท้อนถึงบทบาทของกัมพูชาในฐานะทางผ่านเชิงโลจิสติกส์ระหว่างไทยกับประเทศในกลุ่ม CLMV
ใน 4 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการค้ารวมระหว่างไทยกับเมียนมา (รวมการค้าชายแดนและผ่านแดน) อยู่ที่ 71,747 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.41% จากปีก่อนหน้า การส่งออกจากไทยไปเมียนมามีมูลค่า 42,049 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.14% ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 29,699 ล้านบาท ลดลง 5.6% ส่งผลให้ไทยยังคงได้ดุลการค้า 12,350 ล้านบาท
ชายแดนไทย–เมียนมาครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัดของไทย โดยมีด่านผ่านแดนทั้งหมด 8 แห่ง จังหวัดเชียงรายมี 2 ด่านสำคัญ ได้แก่ ด่านสะพานข้ามแม่น้ำสาย และสะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 2 ซึ่งเชื่อมต่อกับท่าขี้เหล็ก จังหวัดตากมีด่านบ้านริมเมย อำเภอแม่สอด
จังหวัดระนองมีด่านชายแดนทางฝั่งทะเลถึง 4 แห่ง ได้แก่ ด่านท่าเทียบเรือสะพานปลา ด่านปากน้ำระนอง ด่านท่าเทียบเรือบ้านอันดามันคลับ และด่านท่าเทียบเรือศุลกากรระนอง ส่วนจังหวัดกาญจนบุรีมีด่านบ้านพุน้ำร้อน ซึ่งเชื่อมกับจังหวัดตานินทายีของเมียนมา และเป็นจุดยุทธศาสตร์ในกรอบความร่วมมือเศรษฐกิจอนุภูมิภาค
มูลค่าการค้าชายแดนในปี 2567 อยู่ที่ 70,957 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.48% คิดเป็น 81.4% ของมูลค่าการค้าระหว่างไทยและเมียนมาใน 4 เดือนแรกของปี 2568 ซึ่งอยู่ที่ 87,138.74 ล้านบาท โดยเป็นการส่งออก 42,040 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.16% ขณะที่การนำเข้าจากเมียนมากลับลดลง 5.63% คิดเป็น 28,917 ล้านบาท ส่งผลให้ไทยได้ดุลการค้าชายแดนรวม 13,123 ล้านบาท
สินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปเมียนมาคือ น้ำมันดีเซลและน้ำมันสำเร็จรูป ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทของไทยในฐานะผู้จัดหาพลังงานขั้นต้น รวมถึงสินค้าอุตสาหกรรมและการเกษตร และเครื่องดื่ม ด้านสินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ ธัญพืช และสินแร่ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในภาคพลังงานและอุตสาหกรรมต้นน้ำ
ด่านศุลกากรแม่สอด จังหวัดตาก ยังคงเป็นประตูการค้าอันดับหนึ่งกับเมียนมา โดยมีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 23,244 ล้านบาท และนำเข้า ุ6,932 ล้านบาท ส่วนด่านสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี มีมูลค่าการส่งออก 3,264 ล้านบาท และนำเข้า 18,468 ล้านบาท ขณะที่ด่านระนองมีการส่งออก 9,619 ล้านบาท และนำเข้า 3,417 ล้านบาท
สำหรับการค้าผ่านแดนซึ่งดำเนินการผ่านเมียนมาไปยังประเทศที่สาม มีมูลค่ารวมเพียง 791 ล้านบาท หดตัวถึง 5.21% โดยการส่งออกเหลือเพียง 9 ล้านบาท ลดลงมากถึง 44.51% ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 782 ล้านบาท ลดลง 4.45% ทั้งนี้ มูลค่าการค้าผ่านแดนที่เกี่ยวข้องกับจีนมีมูลค่าสูงสุดอยู่ที่ 111 ล้านบาท แสดงถึงข้อจำกัดด้านโลจิสติกส์และบริบททางการเมืองภายในเมียนมาที่ส่งผลต่อเส้นทางการค้า
ชายแดนไทย-กัมพูชานับเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย โดยเฉพาะในมิติของการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน ซึ่งตลอดปีที่ผ่านมา มูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของพื้นที่ชายแดนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาคและเสริมความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยโดยรวม
ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ในปี 2567 การค้าชายแดนและผ่านแดนระหว่างไทย-กัมพูชามีมูลค่ารวม 181,320 ล้านบาท ขยายตัว 8.06% จากปีก่อนหน้า โดยการส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 142,801 ล้านบาท ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 38,519 ล้านบาท ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้ากว่า 104,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความได้เปรียบทางการค้าของไทยในพื้นที่นี้
ในปี 2567 การค้าชายแดนไทย-กัมพูชามีมูลค่ารวม 174,530 ล้านบาท ขยายตัว 7.91% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 141,847 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.47% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 32,684 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.84% ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้าสูงถึง 109,163 ล้านบาท
ด่านศุลกากรสำคัญ เช่น ด่านอรัญประเทศ ด่านคลองใหญ่ และด่านจันทบุรี ล้วนมีบทบาทเป็นจุดผ่านหลักของสินค้าทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะด่านอรัญประเทศ ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกสูงที่สุดถึง 87,372 ล้านบาท สินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปยังฝั่งกัมพูชา ได้แก่ เครื่องดื่ม น้ำแร่ และน้ำอัดลมปรุงรส รวมถึงชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ ส่วนสินค้าที่นำเข้ากลับมามีทั้งผักแปรรูป เศษโลหะ และสายเคเบิล
นอกจากนี้ การค้าผ่านแดนก็ยังเติบโตไม่แพ้กัน โดยมีมูลค่ารวม 6,790 ล้านบาท ขยายตัว 12.03% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเวียดนามถือเป็นประเทศที่มีการค้าผ่านแดนกับไทยผ่านทางกัมพูชามากที่สุด
อย่างไรก็ตาม หากความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างไทยและกัมพูชาทวีความรุนแรงจนถึงขั้นมีการปิดด่านชายแดนหรือจำกัดการค้าข้ามแดน ย่อมส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งต่อมูลค่าการค้าระดับประเทศและต่อเศรษฐกิจในระดับชุมชน โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย แรงงาน และเกษตรกรในพื้นที่ชายแดนที่พึ่งพาการค้าข้ามแดนเป็นหลัก
ในขณะที่รัฐบาลมีนโยบายเดินหน้าผลักดันเศรษฐกิจชายแดนให้เติบโตยิ่งขึ้นในปี 2568 การรักษาเสถียรภาพทางการเมืองและความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้เป้าหมายดังกล่าวสามารถบรรลุได้อย่างยั่งยืน