
รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการเพิ่มภาระภาษีต่อผู้เดินทางชาวต่างชาติ ซึ่งอาจรวมถึงการยกเลิกสิทธิ์การช้อปปิ้งปลอดภาษี (duty-free) และการปรับขึ้นภาษีขาออกจากประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้ของรัฐในช่วงที่ต้องเผชิญข้อจำกัดทางงบประมาณและแรงกดดันทางการเมือง ก่อนการเลือกตั้งวุฒิสภาที่จะมีขึ้นในเดือนหน้า
ท่ามกลางการแข่งขันระหว่างพรรครัฐบาลและฝ่ายค้านในการเสนอแนวทางลดภาระค่าครองชีพของประชาชน การจัดเก็บภาษีจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งไม่ได้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง จึงกลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความสนใจ เนื่องจากมีความเสี่ยงทางการเมืองต่ำกว่าการเก็บภาษีจากพลเมืองในประเทศ
ยูมิ โยชิกาวะ สมาชิกวุฒิสภาจากพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ระบุในการประชุมงบประมาณเมื่อเดือนพฤษภาคมว่า รัฐบาลควรปรับเพิ่มอัตราเรียกเก็บภาษีขาออกที่นักเดินทางต้องชำระเมื่อออกจากญี่ปุ่นให้สูงขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับระดับภาษีในประเทศอื่น ๆ โดยนายกรัฐมนตรีชิเกรุ อิชิบะ แสดงท่าทีสนับสนุนให้มีการศึกษาความเป็นไปได้ของข้อเสนอดังกล่าว
ปัจจุบัน ญี่ปุ่นเรียกเก็บภาษีขาออกในอัตรา 1,000 เยนต่อคน (ประมาณ 7 ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2019 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาแหล่งเงินทุนสำหรับพัฒนาและขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวของประเทศ ขณะที่ประเทศอื่นมีอัตราภาษีสูงกว่า เช่น สหรัฐฯ 22.20 ดอลลาร์ อียิปต์ 25 ดอลลาร์ และออสเตรเลียประมาณ 45 ดอลลาร์
ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงการคลังญี่ปุ่น ณ วันที่ 2 มิถุนายน ระบุว่า รายได้จากภาษีขาออกในปีงบประมาณ 2024 อยู่ที่ 4.81 หมื่นล้านเยน (ราว 332 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่จัดเก็บภาษีนี้ และยังมีอีกหนึ่งเดือนที่ยังไม่สรุปรายได้
แม้ว่าภาษีดังกล่าวจะจัดเก็บจากทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ หากรัฐบาลมีเป้าหมายจะปรับขึ้นเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาจจำเป็นต้องพัฒนาระบบจัดเก็บภาษีที่สามารถแยกแยะผู้โดยสารตามสัญชาติหรือสถานะถิ่นพำนักได้อย่างแม่นยำและเป็นธรรม
อีกหนึ่งมาตรการที่อยู่ระหว่างการพิจารณา คือการยกเลิกหรือปรับเปลี่ยนสิทธิยกเว้นภาษีการบริโภค (Consumption Tax) สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ซื้อสินค้าภายใต้ระบบ duty-free
ทาโร อาโสะ อดีตนายกรัฐมนตรีและที่ปรึกษาอาวุโสของพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) เสนอเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมว่า ควรยุติการยกเว้นภาษีดังกล่าว เนื่องจากพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าในปริมาณมาก ไม่สอดคล้องกับแนวทาง “การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ” ที่รัฐบาลญี่ปุ่นพยายามผลักดัน และยังไม่ได้ก่อประโยชน์เชิงเศรษฐกิจแก่ชุมชนท้องถิ่นอย่างที่ตั้งใจไว้
ข้อเสนอระบุเพิ่มเติมว่า การจับจ่ายจำนวนมากในเขตเมืองหลักมีแนวโน้มว่าเกิดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการนำสินค้าไปจำหน่ายต่อ ซึ่งบั่นทอนวัตถุประสงค์ของมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ระบบใหม่ที่กำหนดให้คืนภาษี ณ วันเดินทางออกจากประเทศ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนพฤศจิกายน 2026 อาจไม่สามารถสกัดพฤติกรรมนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังอาจเปิดช่องให้เกิดการฉ้อโกงในรูปแบบใหม่
ทั้งนี้ หลายประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ต่างมีระบบคืนภาษีมูลค่าเพิ่มบางส่วนให้แก่นักท่องเที่ยวเช่นกัน แต่มีการควบคุมและตรวจสอบที่เข้มงวดกว่า เพื่อจำกัดการนำสินค้าปลอดภาษีไปใช้ในเชิงพาณิชย์
แม้รัฐบาลญี่ปุ่นตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ได้ถึง 60 ล้านคนภายในปี 2030 เพิ่มขึ้นกว่า 70% จากระดับในปี 2024 แต่ข้อเสนอปรับขึ้นภาษีขาออกและยกเลิกสิทธิ์ duty-free ได้ก่อให้เกิดความกังวลว่าอาจกลายเป็นอุปสรรคต่อเป้าหมายดังกล่าว
สมาชิกอาวุโสรายหนึ่งของคณะกรรมการภาษีพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) เตือนว่า หากมาตรการภาษีสร้างแรงจูงใจในทางลบจนทำให้นักท่องเที่ยวลดจำนวนลง อาจกระทบต่อความมั่นใจของสาธารณชน โดยระบุว่า “ถ้านักท่องเที่ยวไม่มากันจริง ๆ ประชาชนอาจตื่นตระหนก” พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า “เราเพิ่งมีการปรับระบบ duty-free ไปเมื่อไม่นาน จะให้เปลี่ยนอีกก็อาจเร็วเกินไป”
ภาคธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญบางส่วนได้ยกกรณีศึกษาจากสหราชอาณาจักรซึ่งในปี 2020 ได้ยกเลิกระบบคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Refund) สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติหลังการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ส่งผลให้ยอดขายของร้านค้าหรูในลอนดอนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเชื่อว่าเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีที่ทำให้ประเทศขาดความได้เปรียบในการดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับบน
ข้อเสนอด้านภาษีในญี่ปุ่นจึงเผชิญแรงต้านจากทั้งในเชิงเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ โดยมีข้อเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวญี่ปุ่นในระยะยาว
ปัจจุบัน กระแสการจัดเก็บภาษีจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มขยายตัวในระดับท้องถิ่นของญี่ปุ่น โดยหลายเมืองท่องเที่ยวสำคัญได้ประกาศมาตรการใหม่เพื่อเพิ่มรายได้และบรรเทาผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น
แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนทิศทางเดียวกับเมืองท่องเที่ยวอื่นทั่วโลกที่เริ่มใช้นโยบายภาษีท่องเที่ยวในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวและเพิ่มรายได้ เช่น:
การดำเนินนโยบายในระดับท้องถิ่นสะท้อนความพยายามของหลายพื้นที่ในการรักษาสมดุลระหว่างการส่งเสริมการท่องเที่ยวกับการบริหารจัดการผลกระทบในระยะยาว ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และโครงสร้างพื้นฐานท้องถิ่น