รัฐบาลไทยกำลังผลักดันโครงการ Thailand Entertainment Complex อย่างจริงจัง ด้วยเป้าหมายชัดเจนในการยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางความบันเทิงระดับโลก พร้อมทั้งวางเป้าหมายให้โครงการนี้กลายเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศในระยะยาวที่จะดึงเงินลงทุกได้มากกว่า 3 แสนล้านบาท และสร้างการจ้างงานหลายหมื่นตำแหน่ง รวมถึงสร้างรายได้ให้ภาคการท่องเที่ยวไทยแม้ในช่วงโลว์ซีซัน
ปัจจุบัน นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มีนักลงทุนรายใหญ่ระดับโลก 4 รายแสดงความสนใจเข้าร่วมลงทุนในโครงการนี้อย่างเป็นทางการ โดย 2 รายสำคัญ ได้แก่ Wynn Resorts และ MGM Resorts ได้มีการหารือกับรัฐบาลแล้ว ทั้งสองฝ่ายประเมินตรงกันว่า หากไทยสามารถเดินหน้าโครงการได้เต็มรูปแบบ ประเทศไทยมีศักยภาพในการก้าวขึ้นเป็นตลาด Entertainment Complex ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากลาสเวกัสและมาเก๊า ภายใน 5-10 ปีข้างหน้า
นายจุลพันธ์ เปิดเผยในการแถลงข่าว “Thailand Entertainment Complex: มหานครแห่งประสบการณ์ระดับโลก เพื่อคนไทยทุกคน” เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ว่า ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกอบกิจการสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. ... ได้รับการบรรจุเป็นวาระเร่งด่วนของการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในเดือนกรกฎาคม โดยจะเข้าสู่การพิจารณาในวาระแรก พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อพิจารณารายละเอียด
รัฐบาลตั้งเป้าผลักดันกฎหมายให้แล้วเสร็จภายในวาระของรัฐบาลปัจจุบัน หรือภายในปี 2570 หากไม่ทันตามกรอบเวลาดังกล่าว ร่างกฎหมายจะตกไป และต้องเริ่มกระบวนการใหม่ในรัฐบาลชุดหน้า
ส่วนกรอบระยะเวลาการดำเนินการนั้น รัฐบาลไม่ได้เร่งรัดแต่อย่างใด แต่รัฐบาลตั้งใจดำเนินการอย่างรอบคอบในทุกขั้นตอน เพื่อให้กฎหมายมีความชัดเจน โปร่งใส และรองรับประเด็นที่สังคมกังวลอย่างครบถ้วน โดยกระบวนการร่างกฎหมายคาดว่าจะใช้เวลานานเป็นปี เนื่องจากเป็นกฎหมายที่มีความซับซ้อนสูง ต้องผ่านการพิจารณา ปรับแก้ และหารือในหลายมิติ
เมื่อร่างกฎหมายเสร็จสิ้นแล้ว จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อขับเคลื่อนโครงการ และตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจขึ้นมาศึกษาความเป็นไปได้ในทุกมิติของโครงการ ก่อนจะจัดทำร่างขอบเขตงาน (TOR) ต่อไป ทั้งนี้ รัฐบาลมีเป้าหมายให้กระบวนการทั้งหมดแล้วเสร็จภายในวาระของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
แม้จะมีเสียงสะท้อนและความกังวลจากหลายฝ่าย แต่นายจุลพันธ์เชื่อว่า หากมีการสื่อสารและอธิบายอย่างชัดเจน โครงการนี้จะได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยรัฐสภาจะเป็นกลไกสำคัญในการเปิดรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย เพื่อหาจุดร่วมที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ ทั้งฝ่ายที่สนับสนุนและฝ่ายที่มีข้อคัดค้าน
“เป็นหน้าที่ของรัฐสภาในการรวบรวมความเห็นที่แตกต่าง หาจุดสมดุล เพื่อให้โครงการเดินหน้าได้ภายใต้ความเข้าใจร่วมกัน รัฐบาลพร้อมใช้เวทีของสภาเพื่อผลักดันกฎหมายนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ” นายจุลพันธ์กล่าว
นายจุลพันธ์ ยืนยันว่า โครงการนี้ไม่ใช่การดำเนินการเพียงครั้งเดียว แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการยกระดับการท่องเที่ยวไทยในระยะยาว โดยทุกขั้นตอนจะดำเนินไปอย่างโปร่งใส มีกรอบกฎหมายชัดเจน และการกำกับดูแลรัดกุม
แม้สภาจะเหลือเวลาทำงานอีกเพียง 2 ปี แต่นายจุลพันธ์มั่นใจว่าเพียงพอสำหรับการผลักดันกฎหมายฉบับนี้ และไม่กังวลต่อการพิจารณา เนื่องจากเสนอโดยคณะรัฐมนตรีที่มีเสียงข้างมาก อย่างไรก็ดี หากร่างกฎหมายไม่ผ่าน ก็จะถือเป็นการเสียโอกาสสำคัญในการสร้างเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่
นายจุลพันธ์ เผยว่า เปิดเผยว่า ขณะนี้มีนักลงทุนต่างชาติชั้นนำในธุรกิจรีสอร์ตและสถานบันเทิงครบวงจรระดับโลกแล้ว 4 ราย แสดงความสนใจเข้าร่วมโครงการ Thailand Entertainment Complex โดยได้มีการหารือกับ 2 บริษัทใหญ่แล้ว ได้แก่ Wynn Development Limited เจ้าของแบรนด์ Wynn Resorts และ MGM Resorts
ขณะเดียวกัน ยังมีแผนจะเปิดการเจรจากับผู้ประกอบการจากกลุ่มธุรกิจบันเทิงอื่น ๆ เพิ่มเติม อาทิ ผู้ดำเนินกิจการสนามกีฬา ผู้จัดแสดงนิทรรศการ และผู้พัฒนาอีเวนต์ระดับนานาชาติ เพื่อขยายความร่วมมือและรูปแบบกิจกรรมให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า หนึ่งในนักลงทุนที่เข้ามาพูดคุยประเมินว่า ประเทศไทยมีศักยภาพโดดเด่นในหลายด้าน ทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับ การเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวกว่า 30 ล้านคนต่อปี และโอกาสทางธุรกิจจากการที่ยังไม่มี Entertainment Complex ขนาดใหญ่ที่รวมกิจกรรมหลากหลายไว้ภายใต้กรอบกฎหมายที่ชัดเจน
ด้วยศักยภาพดังกล่าว นักลงทุนคาดว่า หากโครงการนี้สามารถเดินหน้าได้ตามแผน ไทยมีโอกาสก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลาง Entertainment Complex ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ภายใน 5–10 ปี รองจากลาสเวกัสในสหรัฐอเมริกา และมาเก๊าในจีน
นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ระบุว่า โครงการ Thailand Entertainment Complex ไม่ใช่เพียงศูนย์รวมความบันเทิงระดับโลก แต่เป็นนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลให้ความสำคัญในฐานะเมกะโปรเจกต์ระดับประเทศ ซึ่งมีนัยสำคัญทั้งในมิติทางเศรษฐกิจและสังคม
สำหรับเหตุผลที่ต้องเร่งเดินหน้า นายศึกษิษฏ์อธิบายว่า ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศแรกที่มีแนวคิดนี้ หลายประเทศได้เริ่มพัฒนาโครงการลักษณะเดียวกันไปแล้ว และกำลังเดินหน้าอย่างรวดเร็ว
จากการศึกษาศักยภาพของตลาด พบว่าโครงการลักษณะนี้สามารถสร้างมูลค่าตลาดในระดับโลกสูงถึง 54 ล้านล้านบาทต่อปี ตัวอย่างเช่น รายได้จากธุรกิจ Entertainment Complex ในปี 2022 ของเวียดนามอยู่ที่ 180,000 ล้านบาท, เกาหลีใต้ 320,000 ล้านบาท, และสิงคโปร์สูงถึง 430,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวอย่างของผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรม ประเทศไทยจึงอยู่ในช่วงเวลาสำคัญที่ต้องตัดสินใจ และไม่สามารถปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไปได้
ทั้งนี้ โครงการนี้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การพัฒนาประเทศใน 2 มิติหลัก ได้แก่
ในด้านแรก รัฐบาลมองว่า แม้ประเทศไทยจะมีความได้เปรียบด้านทรัพยากรการท่องเที่ยว ทั้งภูมิประเทศ วัฒนธรรม และอัธยาศัยไมตรีของประชาชน แต่จุดแข็งเหล่านี้ไม่เพียงพอในเวทีแข่งขันระดับโลกอีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อประเทศเพื่อนบ้านเริ่มพัฒนาโครงการขนาดใหญ่เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์และความบันเทิงอย่างจริงจัง
โครงการ Entertainment Complex จึงถูกออกแบบให้เป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ ที่ไม่เพียงสร้างรายได้ แต่ยังเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยจากที่เคยพึ่งพาธรรมชาติ มาเป็นแหล่งรวมกิจกรรมระดับโลกที่สามารถดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังจ่ายสูงได้ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ต โชว์ นิทรรศการ กีฬาอีเวนต์ หรือการประชุมระดับนานาชาติ
สิ่งสำคัญคือ โครงการนี้จะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว หรือที่เรียกว่า Low Season โดยการจัดกิจกรรมและโชว์ในลักษณะ Indoor ที่สามารถดำเนินการได้โดยไม่ขึ้นอยู่กับฤดูกาลหรือสภาพอากาศ ช่วยให้ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนตลอดทั้งปี และในระยะยาวยังช่วยยกระดับศักยภาพของประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านความบันเทิงและไลฟ์สไตล์ระดับโลกได้อย่างมั่นคง
ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังตระหนักถึงปัญหาที่ซ่อนอยู่ในระบบเศรษฐกิจเงา นั่นคือการแพร่กระจายของบ่อนการพนันเถื่อนซึ่งเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะตามแนวชายแดนที่มีคาสิโนถูกกฎหมายในประเทศเพื่อนบ้านรองรับนักพนันชาวไทยจำนวนมาก
ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงแต่ทำให้เงินจำนวนมหาศาลไหลออกจากประเทศโดยไม่ผ่านระบบภาษีหรือการกำกับดูแลของรัฐ แต่ยังนำมาซึ่งผลกระทบในรูปแบบของอาชญากรรมไซเบอร์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และกิจกรรมผิดกฎหมายอื่น ๆ ที่ใช้ทุนจากแหล่งเหล่านี้ในการขยายเครือข่ายในประเทศไทย
รัฐบาลจึงมองว่า หากสามารถจัดระเบียบและกำหนดกรอบกฎหมายที่ชัดเจนในการอนุญาตให้มีกิจกรรมบางประเภทภายใน Entertainment Complex ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวด ก็จะสามารถนำเงินที่เคยรั่วไหลกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเปลี่ยนกิจกรรมที่เคยเป็นความเสี่ยงทางสังคมให้กลายเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ สร้างงาน และลดปัญหาอาชญากรรมได้ในระยะยาว
นอกจากนี้ นายศึกษิษฏ์ ยังยืนยันว่า Thailand Entertainment Complex ไม่ใช่โครงการการพนันออนไลน์ และไม่ใช่ “คาสิโนเสรี” แต่คือ “โมเดลธุรกิจแบบเมกะโปรเจกต์” ที่ดึงดูดการลงทุนระดับแสนล้านบาทขึ้นไป เหมือนกับที่ประเทศสิงคโปร์และญี่ปุ่นเคยใช้ โดยจะจำกัดจำนวนใบอนุญาตและกำหนดมาตรฐานการกำกับดูแลที่เคร่งครัด
ในด้านการเข้าใช้บริการคาสิโน จะมีการควบคุมอย่างเข้มข้น คนไทยที่สามารถเข้าใช้บริการจะต้องมีเงินฝากขั้นต่ำ 50 ล้านบาทขึ้นไป และระบบควบคุมจะถูกออกแบบเพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มเปราะบางได้รับผลกระทบโดยตรง กิจกรรมหลักภายในโครงการจะครอบคลุมกิจกรรมที่กว้างกว่าเพียงการพนัน
นายศึกษิษฏ์ ระบุว่า โครงการ Thailand Entertainment Complex ได้รับการวางแนวคิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ (Man-Made Destination) ที่หลอมรวมความบันเทิง การเรียนรู้ และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไว้ในพื้นที่เดียวอย่างเป็นระบบ จุดมุ่งหมายคือการยกระดับประเทศไทยให้ก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางความบันเทิงครบวงจรระดับโลก รองรับทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผู้จัดงานอีเวนต์ระดับนานาชาติ ตลอดจนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมไมซ์ การจัดแสดงสินค้า และธุรกิจบริการชั้นนำ
ในด้านโครงสร้างเงินลงทุน นายจุลพันธ์ เน้นย้ำอย่างชัดเจนว่า โครงการ Thailand Entertainment Complex จะไม่พึ่งพางบประมาณแผ่นดินแม้แต่บาทเดียว แต่จะขับเคลื่อนโดยอาศัยเม็ดเงินจากภาคเอกชนทั้งหมด โดยกำหนดระดับเงินลงทุนขั้นต่ำไว้ที่ ไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
รัฐบาลยังมีแผนนำโมเดลจากประเทศที่ประสบความสำเร็จอย่าง สิงคโปร์ และ ญี่ปุ่น มาปรับใช้ โดยยึดแนวทาง “จำกัดจำนวนโครงการ” อย่างชัดเจน เพื่อป้องกันการกระจายตัวที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มสูงสุด และเพื่อควบคุมคุณภาพของโครงการให้อยู่ในระดับ Mega Size หรือ XXL เท่านั้น ซึ่งหมายความว่า โครงการนี้จะเปิดรับเฉพาะกลุ่มทุนรายใหญ่ที่มีความพร้อมทั้งด้านเงินทุนและการบริหารจัดการ ไม่ใช่โครงการที่จะสามารถกระจายไปในทุกจังหวัดหรือทุกอำเภอได้อย่างเด็ดขาด
หนึ่งในต้นแบบสำคัญที่รัฐบาลนำมาศึกษาอย่างจริงจังคือ โมเดลของสิงคโปร์ ซึ่งประสบความสำเร็จในการพัฒนา Integrated Resort ที่บูรณาการสถานบันเทิง คาสิโน ศูนย์ประชุม และแหล่งท่องเที่ยวเข้าด้วยกันอย่างครบวงจร ประเทศไทยจะประยุกต์ใช้แนวทางที่คล้ายคลึงกัน โดยเน้นความครบถ้วนของบริการในพื้นที่เดียว พร้อมกลไกควบคุมที่รัดกุม โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน ได้แก่
1. ระบบ Request for Concept (RFC)
ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการขอเสนออย่างเป็นทางการ (RFP – Request for Proposal) นักลงทุนต้องเสนอแนวคิดเบื้องต้นที่ครอบคลุมองค์ประกอบสำคัญ เช่น
ทุกข้อเสนอจะต้องสามารถตรวจสอบได้ และอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายและจริยธรรมอย่างเคร่งครัด
2. การขอใบอนุญาตแบบคอนซอเตียมเดียว (Single Consortium)
เพื่อลดความซับซ้อนในการบริหารและตรวจสอบ รัฐบาลจะอนุญาตให้เฉพาะกลุ่มทุนที่รวมตัวกันอย่างเป็นระบบในการพัฒนาโครงการทั้งระบบ เช่น กลุ่มผู้พัฒนาโรงแรม ห้างสรรพสินค้า คาสิโน และสเตเดียม ต้องยื่นขอใบอนุญาตร่วมกันในฐานะกลุ่มเดียว ซึ่งช่วยให้การให้ใบอนุญาตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถควบคุมได้ทุกขั้นตอน
นอกจากนี้ ยังมีการนำแนวคิดของ UAE มาใช้เป็นกรณีศึกษา โดยเฉพาะในเรื่องการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมร่วมกับความบันเทิงในการยกระดับเศรษฐกิจของประเทศแบบองค์รวม ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของรัฐบาลไทยในการพัฒนา Entertainment Complex ให้เป็นมากกว่าแค่สถานบันเทิง แต่คือ “มหานครแห่งประสบการณ์ระดับโลก” ที่สร้างทั้งมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและชื่อเสียงระดับนานาชาติ
สำหรับองค์ประกอบหลักของโครงการ Entertainment Complex ในประเทศไทย ประกอบด้วย
สำหรับ “พื้นที่ดำเนินโครงการ” นายจุลพันธ์เผยว่ารัฐบาลจะกำหนดด้วยตนเอง โดยไม่เปิดให้ภาคเอกชนเลือกพื้นที่ได้อย่างเสรี ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหา การแข่งขันกันเรื่องทำเล ซึ่งอาจนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค
รัฐบาลมีความเห็นว่า หากปล่อยให้เอกชนเลือกพื้นที่เอง อาจเกิดกรณีที่บางพื้นที่ได้เปรียบทางเชิงพาณิชย์ ขณะที่พื้นที่อื่นกลับถูกมองข้าม ส่งผลให้โครงการไม่สามารถกระจายประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้อย่างเท่าเทียม ดังนั้น ทางออกที่เหมาะสมที่สุดคือ ให้รัฐเป็นผู้กำหนดพื้นที่โครงการอย่างเป็นทางการ แล้วเปิดให้ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วม แข่งขันกันเสนอข้อเสนอการลงทุน (ประมูลแนวคิด) ในพื้นที่ที่รัฐจัดสรรไว้
สำหรับผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเกิดขึ้น รัฐบาลคาดว่าโครงการนี้จะดึงดูดเงินลงทุนจากภาคเอกชนไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท และอาจสูงถึง 300,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยเพิ่ม GDP ราว 0.23% ในช่วงก่อสร้าง และ 0.2-0.8% ต่อปีหลังเปิดดำเนินการเต็มรูปแบบ
รายได้จากการท่องเที่ยวคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 100,000-200,000 ล้านบาทต่อปี โดย ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปของนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นประมาณ 22,000 บาท ส่งผลเชิงบวกต่อธุรกิจบริการ โรงแรม ร้านอาหาร และโลจิสติกส์
ในด้านการจ้างงาน คาดว่าจะมีการจ้างงานโดยตรง 9,000-10,000 ตำแหน่ง และอาจมากถึง 12,000 ตำแหน่งหรือมากกว่า เทียบได้กับ Marina Bay Sands ในสิงคโปร์ โดยโครงการจะเน้นการจ้างแรงงานไทย และใช้วัสดุหรือสินค้าในประเทศเป็นหลัก
รายได้รัฐจากโครงการ ภาครัฐจะได้รับรายได้จากภาษีและค่าธรรมเนียมรวมราว 12,000-40,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งประกอบด้วย ภาษีจากกิจการในพื้นที่โครงการ ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต และรายได้จากการใช้บริการคาสิโน (ภายใต้กรอบควบคุมเฉพาะ)
นายศึกษิษฏ์กล่าวว่า รายได้เหล่านี้จะถูกจัดสรรเพื่อนำไปใช้ในภารกิจสำคัญของรัฐ อาทิ การศึกษา การพัฒนาเยาวชน กีฬา ดนตรี เทคโนโลยี สาธารณสุข และโครงการช่วยเหลือผู้เปราะบาง รวมถึงการส่งเสริม CSR และการพัฒนาชุมชนรอบโครงการให้เติบโตอย่างยั่งยืน
สุดท้ายแล้ว นายจุลพันธ์และนายศึกษิษฏ์ ย้ำว่า Thailand Entertainment Complex คือโอกาสระดับชาติที่จะยกระดับบทบาทของไทยในเศรษฐกิจโลก เป็นการผนวกนโยบายการท่องเที่ยว นโยบายการลงทุน และกลไกสังคมให้ทำงานร่วมกันภายใต้กรอบกฎหมายที่โปร่งใสและมีธรรมาภิบาล หากรัฐบาลสามารถผลักดันร่างกฎหมายให้แล้วเสร็จและเปิดทางให้เอกชนลงทุนภายในกรอบเวลาที่เหมาะสม ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการกลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางด้านความบันเทิงและเศรษฐกิจสร้างสรรค์อันดับต้น ๆ ของโลก