เป็นที่แน่นอนแล้วว่า การหารือด้านเศรษฐกิจและนโยบายภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งเดิมมีกำหนดในวันที่ 23 เมษายน 2568 ภายใต้การนำของนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจา ยังคงต้องเลื่อนออกไป เนื่องจากทางการสหรัฐฯ ยังไม่ยืนยันวันและเวลาสำหรับการเจรจาอย่างเป็นทางการ
เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการเตรียมการเจรจากับสหรัฐฯ แก่สื่อมวลชนว่า ขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างการรอการตอบรับและกำหนดวันจากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ว่าจะสามารถเข้าเจรจาได้เมื่อใด
นายพิชัยกล่าวถึงผลกระทบจากนโยบาย "ทรัมป์ 2.0" ว่าอาจสร้างแรงกดดันต่อภาคการส่งออกของไทยในไตรมาสที่สองของปีนี้ แม้ว่าในไตรมาสแรก การส่งออกยังคงขยายตัวในเกณฑ์ดี โดยเดือนมกราคมเติบโตถึง 13.6% และเดือนกุมภาพันธ์ 14% ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จะรายงานตัวเลขเดือนมีนาคมในวันที่ 24 เมษายน และคาดว่ายังคงขยายตัวได้ในระดับเลขสองหลัก
สำหรับแนวทางการเจรจา นายพิชัยเผยว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เนื่องจากยังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูลและข้อเสนอให้รอบด้าน และย้ำว่าทีมประเทศไทยยังคงเดินหน้าเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจาอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นความรอบคอบและการเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้าน เพื่อให้การเจรจามีข้อมูลและข้อเสนอที่ชัดเจน และเกิดผลเป็นรูปธรรม
นายพิชัยยังกล่าวย้ำว่า ไทยไม่มีความจำเป็นต้องเลือกข้างระหว่างสหรัฐฯ กับจีน แม้จะถูกกดดันให้ตัดสินใจในประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ โดยระบุว่า ไทยมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับทั้งสองประเทศ และหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์คือการรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการลงทุนกับทุกประเทศในลักษณะที่สมดุล
นอกจากนี้ ไทยได้เริ่มหารือร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียน โดยเฉพาะมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน เพื่อเตรียมการเจรจาร่วมกับสหรัฐฯ ในลักษณะกลุ่มอาเซียน ซึ่งถือเป็นการสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาค พร้อมทั้งย้ำว่า การเจรจาต้องมีเหตุผล ข้อมูลครบถ้วน และไม่เกิดจากการเร่งรัดโดยขาดการเตรียมพร้อม
สำหรับมาตรการจัดเก็บภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ ประกาศออกมาก่อนหน้านี้ แม้จะมีตัวเลขที่ดูสูงและสร้างความกังวลในหลายภาคส่วน แต่นายพิชัยมองว่า อาจเป็นเพียงกลยุทธ์ทางจิตวิทยาของสหรัฐฯ และยังไม่ถือเป็นข้อสรุปสุดท้าย โดยฝ่ายไทยได้เตรียมข้อมูลและมาตรการรองรับผลกระทบไว้ล่วงหน้า และจะประเมินแนวทางการช่วยเหลือผู้ประกอบการเมื่อได้ผลลัพธ์จากการเจรจาที่ชัดเจน
แม้ว่าการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ จะถูกเลื่อนออกไปโดยยังไม่มีกำหนดอย่างเป็นทางการ แต่รัฐบาลไทยยังคงมีแนวโน้มที่จะยึดแนวทางการเจรจาเดิมที่ได้เคยวางแผนไว้ ซึ่งประกอบด้วยข้อเสนอหลัก 5 ประการที่มุ่งลดการเกินดุลการค้าของไทยกับสหรัฐฯ ลง 50% ภายในระยะเวลา 5 ปี พร้อมกับเสริมสร้างความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสองประเทศในระยะยาว
แนวทางการเจรจาทั้ง 5 ข้อมีรายละเอียดดังนี้
1. เสริมความร่วมมือในอุตสาหกรรมที่สหรัฐฯ และไทยได้ประโยชน์ร่วมกัน
ไทยตั้งเป้าเสริมสร้างความร่วมมือกับสหรัฐฯ ในอุตสาหกรรมที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ซึ่งไทยมีศักยภาพด้านการผลิตและการส่งออก ขณะที่สหรัฐฯ มีความแข็งแกร่งด้านวัตถุดิบทางการเกษตร เช่น ธัญพืชและเนื้อสัตว์ ความร่วมมือในลักษณะนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าการผลิตในไทย และส่งออกไปยังตลาดโลกได้มากขึ้น
ทั้งนี้ ไทยยังวางแผนหารือโดยตรงกับภาคเกษตรของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นกลุ่มผลประโยชน์สำคัญทางการเมืองของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อสร้างความเข้าใจและผลักดันความร่วมมือให้เป็นรูปธรรม
2. เพิ่มการนำเข้าสินค้าจำเป็นจากสหรัฐฯ เพื่อเสริมเศรษฐกิจและความร่วมมือ
ไทยมีแนวทางเพิ่มการนำเข้าสินค้าจำเป็นจากสหรัฐฯ ทั้งเพื่อตอบสนองความต้องการในประเทศ และเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น สินค้าที่อยู่ในแผนการนำเข้า ได้แก่ พลังงาน (น้ำมันดิบ, LNG, อีเทน), อากาศยานและชิ้นส่วน, อาวุธยุทโธปกรณ์ รวมถึงสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง และเนื้อวัว
แนวทางนี้ไม่เพียงช่วยเสริมความมั่นคงด้านอุปทานในประเทศ แต่ยังเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อความร่วมมือด้านการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ในระยะยาว
3. เปิดตลาดและลดอุปสรรคทางการค้า
ไทยเสนอเปิดตลาดการค้าให้กว้างขึ้นผ่านการลดภาษีนำเข้าภายใต้ระบบ MFN (Most Favored Nation) มากกว่า 11,000 รายการลงราว 14% ควบคู่กับการลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers: NTBs) เพื่อเพิ่มความสะดวกในการค้าระหว่างประเทศ และส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
แนวทางนี้จะเอื้อต่อการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เข้ามาในตลาดไทยมากขึ้น เช่น ผลไม้สดอย่างเชอรี่และแอปเปิ้ล ธัญพืช เช่น ข้าวสาลีและข้าวโพด รวมถึงผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพในการเติบโตและตอบโจทย์ผู้บริโภคไทย
4. คุมเข้มกฎหมายถิ่นกำเนิดสินค้า ป้องกันการสวมสิทธิ์ "Made in Thailand"
ไทยเตรียมบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศที่สามใช้ไทยเป็นทางผ่านในการส่งออกสินค้าสู่สหรัฐฯ โดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
มาตรการนี้มุ่งลดการสวมสิทธิ์ฉลาก “Made in Thailand” และรักษาความเชื่อมั่นของตลาดสหรัฐฯ ที่มีต่อสินค้าส่งออกจากไทย ผ่านการติดตาม ตรวจสอบ และเฝ้าระวังอย่างเป็นระบบ พร้อมเสริมภาพลักษณ์ไทยในฐานะประเทศคู่ค้าที่ยึดถือหลักการค้าอย่างโปร่งใสและรับผิดชอบ
5. สนับสนุนการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ เพื่อขยายบทบาททางเศรษฐกิจ
รัฐบาลไทยมีนโยบายสนับสนุนให้ภาคเอกชนขยายการลงทุนในสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องในช่วง 4 ปีข้างหน้า โดยเน้นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง เช่น พลังงานและเกษตรกรรม โดยเฉพาะโครงการด้านก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในรัฐอลาสก้า และการลงทุนในฟาร์มเกษตรขนาดใหญ่
ปัจจุบัน ภาคเอกชนไทยได้ดำเนินโครงการลงทุนในสหรัฐฯ แล้วกว่า 70 แห่ง ครอบคลุม 20 รัฐ สร้างการจ้างงานมากกว่า 16,000 ตำแหน่ง และมีมูลค่าการลงทุนรวมเกิน 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทที่เติบโตขึ้นของนักลงทุนไทยในตลาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการมีส่วนร่วมในการสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ