สิ่งที่ทำให้หลายฝ่ายกังวลก็คือ ทั้งสองบริษัทนี้เพิ่งจะส่งสัญญาณว่าอาจจะไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ได้ ซึ่งจะทำให้วิกฤตการณ์หนี้จีนยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจนกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ชาวจีนลงทุนกันมากและคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 30% ของจีดีพีประเทศ
"ไชน่า เอเวอร์แกรนด์" เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในจีน และก็มีภาระหนี้ก้อนใหญ่เช่นกันถึงกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านี้เคยประสบปัญหาจนต้องผิดนัดชำระหนี้ หรือเบี้ยวหนี้มาแล้ว แต่ในที่สุดก็สามารถชำระหนี้ได้ในช่วงโค้งสุดท้ายของระยะเวลาการผ่อนผัน 30 วัน ทั้ง 2 ครั้ง
แต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา บริษัทได้แถลงว่าเจ้าหนี้เรียกร้องการชำระเงินเป็นมูลค่าถึง 260 ล้านดอลลาร์ ทำให้บริษัทไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะหาเงินมากพอมาจัดการกับภาระก้อนนี้ ทำให้ทางการจีนเรียกตัวประธานบริษัทเข้าพบโดยด่วน และส่งผลให้ราคาหุ้นบริษัทร่วงลงถึง 12% สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี
อย่างไรก็ตาม มีการส่งสัญญาณจากธนาคารกลางจีน (PBOC) และหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องว่า ยังมีโอกาสที่จะควบคุมความเสี่ยงของสถานการณ์เอเวอร์แกรนด์ที่จะกระทบต่อภาคธุรกิจโดยรวมได้อยู่ ขณะที่บรรดานักวิเคราะห์มองท่าทีจากหน่วยงานภาครัฐว่า อาจจะได้เห็นการแก้ปัญหาผ่านกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ของเอเวอร์แกรนด์ โดยมีทางการมณฑลกวางตุ้งเข้ามาช่วยดูแลด้วยเพื่อลดความเสี่ยงต่างๆ
ส่วนสถานการณ์ของบริษัท "ไคซา กรุ๊ป" ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผู้เล่นรายใหญ่ในจีนนั้นก็เลวร้ายไม่แพ้กัน เมื่อเจ้าหนี้ส่วนใหญ่ปฏิเสธคำร้องที่ขอแลกหุ้นกู้ใหม่อายุ 18 เดือน ซึ่งจะทำให้บริษัทไท่มีเงินมากพอที่จะชำระหนี้หุ้นกู้เดิมในวันนี้ได้ และหากเป็นเช่นนั้น บริษัทจะถูกประกาศการผิดนัดชำระหนี้ (Default) อย่างเป็นทางการ และคาดว่าทางการมณฑลกวางตุ้งจะต้องส่งคณะทำงานไปที่บริษัท เพื่อตรวจสอบเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ของไคซา
ก่อนหน้านี้เพียง 1 วัน บริษัทอสังหาฯ อีกรายอย่าง Sunshine 100 เพิ่งประกาศผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้มูลค่า 170 ล้านดอลลาร์ (ราว 5,800 ล้านบาท) และดอกเบี้ยอีกกว่า 8.9 ล้านดอลลาร์ (ราว 300 ล้านบาท) ส่งผลให้สถานการณ์ภาคอสังหาริมทรัพย์และวิกฤตหนี้จีน กลายเป็นประเด็นร้อนที่ทั่วโลกต้องกลับมาจับตาอย่างใกล้ชิดอีครั้งในสัปดาห์นี้