"อีเธอเรียม" กำลังจะเปิดตัว Ethereum The Merge ในวันที่ 15 ก.ย. นี้ ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และจะกระทบต่อเหรียญทั้งวงการด้วย
Ethereum เป็นบล๊อกเชนที่ใครก็ตามที่เข้าสู่โลกคริปโตเคอเรนซี่ ต้องเคยได้ยินสักครั้ง เนื่องจากเป็นระบบที่สามารถสร้างการใช้งานที่นอกเหนือจากการเป็นเงินได้อีกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นระบบ Decentralize Finance (DeFi), NFT หรือแม้แต่ Metaverse ก็มีส่วนหนึ่งที่จำเป็นต้องใช้ระบบที่มี Ethereum เป็นต้นแบบในการประกอบให้เกิดขึ้นมาได้
แต่ปัญหาหลักของการใช้งาน Ethereum คือ “ราคาในการทำธุรกรรมจะขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของการใช้งาน” และเนื่องจากมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นมากในปัจจุบัน มีเงินเข้ามาอยู่ในระบบมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ และมีปริมาณการทำธุรกรรมถึงวันละ 1 ล้านธุรกรรม ทำให้ราคาของ ETH เคยพุ่งสูงในช่วงที่ต้องแย่งกันใช้งานอย่างหนัก บางครั้งสูงถึงหลายร้อยดอลลาร์
ในขณะที่หากจะเปรียบเทียบกับระบบที่เป็นการใช้งานระดับโลกอย่าง VISA นั้นมีการใช้งานวันละ 150 ล้านธุรกรรม แต่มีค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย ทำให้การนำ Ethereum มาใช้ในสเกลระดับโลกยังต้องถูกปรับปรุงอีกมาก
หลังการเปิดตัว Ethereum มาได้ไม่กี่ปี Vitalik Buterin หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Ethereum ก็มองว่า Ethereum ต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างอีกหลายอย่าง เช่น ระบบฉันทามติ หรือ Consensus, การกระจายการตรวจสอบธุรกรรม หรือ Sharding ซึ่งเป็นที่มาของการวางแผนอย่างยาวนานของ Ethereum ในการปรับปรุงระบบบล็อกเชนที่ใหญ่ที่สุดอันดับสองของโลกในปัจจุบัน เรามาดูว่ามันเริ่มต้นอย่างไรกันบ้าง
Ethereum ต้องการแก้ปัญหาของบล็อกเชนที่มีมานานแล้ว
ชื่อว่า Blockchain Trilemma
ปัญหานี้คือ หากต้องการสร้างบล็อกเชนขึ้นมา คุณสมบัติ 3 อย่างที่ไม่สามารถมีได้พร้อมๆ กันคือ
- Scalability หรือการขยายขนาด
- Security หรือการป้องกันการโจมตี
- Decentralization หรือการกระจายอำนาจ
เราสามารถเลือกได้เพียง 2 ใน 3 คุณสมบัติเท่านั้น เช่น หากต้องการสร้างบล็อกเชนที่มีคุณสมบัติมีความปลอดภัยสูง และมีการใช้งานได้อย่างหนาแน่น มีปริมาณธุรกรรมที่สูง จะต้องสูญเสียการกระจายอำนาจไป (ตัวอย่างเช่น BNB Chain ของ Binance ที่มีการใช้งานได้สูง ค่าธรรมเนียมต่ำ แต่มีจำนวนผู้ตรวจสอบธุรกรรมเพียง 21 node)
โดยการอัพเกรด Ethereum เป็น Ethereum 2.0 นั้นมองว่าจะช่วยแก้ปัญหาให้สามารถสร้างสมดุลที่ลบล้างปัญหา Blockchian Trilemma ได้ ดังนี้
- ขยายการใช้งานให้สามารถทำธุรกรรมได้มากขึ้น
- มีความปลอดภัยที่สูงจากการใช้ระบบ Proof of stake
- การเข้าร่วมระบบที่ไม่จำเป็นต้องกำลังการขุด (คอมพิวเตอร์ที่ใช้ประมวลผล) สูง ทำให้เกิดการกระจายศูนย์ได้ง่าย
The Merge ที่กำลังจะมาถึงคืออะไร
ปัจจุบัน Ethereum กำลังขยับไปสู่การเปลี่ยนเป็น Ethereum 2.0 แบบค่อยเป็นค่อยไป โดยแบ่งเฟสการพัฒนาออกเป็นส่วนย่อยๆ
ส่วนแรกนั้นคือ The Merge ซึ่งเป็นการทำการเปลี่ยนระบบการตรวจสอบธุรกรรม (ฉันทามติ) จาก Proof of Work เป็น Proof of Stake ซึ่งกระบวนการคือ
- ปัจจุบันจะมีบล็อกเชนหนึ่งที่เป็น Proof of stake ของ Ethereum ที่ทำงานอยู่แล้ว ชื่อว่า Beacon Chain โดยทำการตรวจสอบธุรกรรมคู่ขนานไปกับ Ethereum แบบเดิมที่ต้องใช้พลังการขุด
- ในวันที่จะเกิด The Merge จะเป็นการยุบรวม 2 บล๊อกเชนนี้เข้าด้วยกัน และใช้ Proof of stake ต่อไป
ผลของ The Merge
The Merge จะนำมาซึ่งผลของการปรับเปลี่ยนเป็น Proof of Stake ซึ่งเป็นกลไกในการให้ผู้ต้องการตรวจสอบธุรกรรม ใช้การวาง Ethereum ไว้ในระบบการตรวจสอบ โดยผู้ที่มี Ethereum มาก ยิ่งมีโอกาสได้เข้าตรวจสอบธุรกรรมและรับผลตอบแทนจากระบบมากขึ้น ซึ่งจะมาทดแทนการแข่งกันครอบครองพลังการขุดเพื่อแข่งกันตรวจสอบธุรกรรม
ผลลัพธ์ที่ได้จึงมีแค่ทำให้การใช้พลังงานของบล็อกเชนลดลง โดยคาดการณ์ว่าจะมากกว่า 99.5% เท่านั้น
ต้องรอการพัฒนาที่ตามหลังมาจาก The Merge จึงจะช่วยให้สามารถขยับขยายปริมาณธุรกรรมได้
ผลกระทบต่อ Ethereum Killer
ต้องบอกว่าหลายๆ บล็อกเชนในปัจจุบันที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็น Ethereum Killer เข่น BNB chain, Avalanche, Cardano นั้น “มีโอกาสที่จะหมดความดึงดูดได้ หาก Ethereum มีประสิทธิภาพมากขึ้น” เนื่องจากในช่วงเวลาที่ผ่านมา ตลาดก็ได้พิสูจน์แล้วว่า แม่ระบบจะมีความสามารถในการทำธุรกรรมต่ำและมีค่าธุรกรรมที่แพง แต่ Ethereum ก็ยังได้รับความไว้ใจเป็นอันดับ 1 สังเกตได้จากปริมาณเงินที่อยู่ในระบบ ถ้าหาก Ethereum สามารถแก้ปัญหาทำให้ค่าธุรกรรมถูกลงกว่าเดิม รองรับการใช้งานได้มากขึ้น ก็ยิ่งมีโอกาสที่คนจะวิ่งกลับเข้าหา Ethereum มากขึ้น
ข้อมูลเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2022
แต่อย่างไรก็ตาม การพัฒนาที่จะทำให้ Ethereum ไปถึงจุดที่สามารถแก้ไขปัญหาของตัวเองได้นั้นยังต้องใช้เวลาอีกสักพัก โดยหลังจาก The Merge ก็ยังมี Road Map อีกมากที่จะต้องทำให้ได้ก่อนจะเป็น Ethereum 2.0
ดังนั้น เหล่า Ethereum Killer ก็ยังพอมีเวลาให้หายใจและคิดค้นอะไรใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อหาทางเอาชนะ Ethereum ให้ได้อยู่ครับ