กองทัพยูเครตไม่โดดเดี่ยว ยอดบริจาค "บิตคอยน์" พุ่ง!

บริษัทวิเคราะห์บล็อกเชน เอลลิปติก (Elliptic) เปิดเผยว่า ในช่วง 12 ชั่วโมงของเมื่อวานนี้หลังจากที่รัสเซียประกาศบุกยูเครน พบว่าองค์กรที่มีชื่อว่า คัม แบ็ค อะไลฟ์ (Come Back Alive) ซึ่งเป็นองค์กรภาคเอกชนในยูเครนที่ขอรับการบริจาคบิตคอยน์เพื่อนำไปเป็นทุนสนับสนุนการต่อสู้ในยูเครนนั้น มียอดบริจาคบิตคอยน์สูงเกือบ 400,000 ดอลลาร์ (ราว 12 ล้านบาท)

 

 

และล่าสุดในวันนี้ เว็บไซต์ Coindesk ได้รายงานอ้างเว็บไซต์ Blockchain.com พบว่า ยอดบริจาคบิตคอยน์ได้เพิ่มขึ้นไปแตะ 700,000 ดอลลาร์ (ราว 23 ล้านบาท) เรียบร้อยแล้ว

 

 

"คริปโทฯ ถูกใช้มากขึ้นในการระดมทุนเพื่อทำสงคราม ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลไปโดยปริยายด้วย" ทอม โรบินสัน หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ข้อมูลของเอลลิปติก กล่าว

 

 

 

 

 

ในยูเครน การเมืองเป็นเรื่องใหญ่เสมอในฐานะประเทศที่ถูกแทรกแซง/ได้รับอิทธิพลจากต่างชาติมาโดยตลอด (โดยเฉพาะรัสเซีย) อาสาสมัครกับเอ็นจีโอมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการเคลื่อนไหวทางการเมือง เช่น การร่วมขับไล่ประธานาธิบดี วิกเตอร์ ยานูโควิช ที่เป็นฝ่ายโปรรัสเซีย เมื่อปี 2014

 

 

โดยปกติแล้ว นักเคลื่อนไหวในยูเครนก็เลือกรับเงินบริจาคผ่านแบงก์หรือแอปพลิเคชันชำระเงินเหมือนในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก แต่ในระยะหลังที่สถานการณ์กับรัสเซียตึงเครียดขึ้น เหล่าเอ็นจีโอได้หันไปใช้ทางเลือกอย่างคริปโทฯ มากขึ้นแทน เพราะลดความเสี่ยงในการพึ่งพาตัวกลางอย่างสถาบันการเงิน ที่อาจถูกบล็อกไม่ให้โอนย้ายเงินมายูเครน

 

 

นอกจากกลุ่ม Come Back Alive ก็ยังมีนักเคลื่อนไหวอีกหลายกลุ่ม เช่น Ukrainian Cyber Alliance ที่ระดมทุนได้ประมาณ 100,000 ดอลลาร์ในปีที่แล้ว ทั้งในรูปแบบของ Bitcoin Ethereum Litecoin และคริปโทฯ สกุลอื่นๆ โดยกลุ่มนี้มุ่งเป้าที่การโจมตีทางไซเบอร์ต่อรัสเซีย เป็นหลัก

 

 

การบริจาครอบใหม่นี้ เป็นไปตามแนวโน้มในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่มีการแห่บริจาคบิตคอยน์หลายแสนดอลลาร์ให้กับองค์กรเอ็นจีโอและกลุ่มอาสาสมัครที่รับหน้าที่ป้องกันการรุกรานจากรัสเซีย โดยมีรายงานว่า เหล่าเอ็นจีโอสามารถระดมทุนบิตคอยน์ได้ถึง 1 ล้านดอลลาร์ ก่อนที่ตัวเลขบริจาคจะเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัวอย่างรวดเร็ว หลังจากที่รัสเซียประกาศสงคราม

 

 

นักเคลื่อนไหวในยูเครนได้เลือกใช้งานคริปโทฯ ในกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการจัดเตรียมอุปกรณ์ทางทหาร เวชภัณฑ์ และโดรนให้กับกองทัพยูเครน ตลอดจนให้เงินทุนในการพัฒนาแอปพลิเคชันจดจำใบหน้าที่ออกแบบมาเพื่อระบุตัวทหารรับจ้างหรือสายลับชาวรัสเซียที่อาจแฝงตัวเข้ามาในประเทศด้วย