คาร์ฟูร์ ประกาศลั่น จะไม่วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัทเป๊ปซี่โค แบรนด์ ผู้ผลิตน้ำอัดลมและขนมขบเคี้ยวรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก สาเหตุเพราะแป๊ปซี่โคปรับราคาสินค้าแพงเกินไป จนอาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นกว่าเดิม
คาร์ฟูร์ ในฝรั่งเศสประกาศ จะไม่ขายสินค้าทุกแบรนด์ PepsiCo เหตุตั้งราคาขายแพง
จากรายงานของทาง theguardian ระบุว่า ห้างสรรพสินค้าคาร์ฟูร์ในฝรั่งเศสประกาศหยุดขายสินค้าทุกแบรนด์ของ PepsiCo เช่น เครื่องดื่มแบรนด์เป๊ปซี่ เซเว่นอัพ และมันฝรั่งทอดแบรนด์เลย์ โดยให้เหตุผลว่าราคาขายส่งของเป๊ปซี่โคสูงขึ้น จนทำให้ห้างต้องขึ้นราคาขายปลีกตามไปด้วย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคจากภาวะเงินเฟ้อที่สูงมากขึ้น
ล่าสุดทาง โฆษกของคาร์ฟูร์ ยืนยันว่า ทางคาร์ฟูร์จะไม่รับสินค้าใหม่ทุกแบรนด์ของ PepsiCoมาขาย ส่วนผลิตภัณฑ์ที่วางอยู่บนชั้นวางสินค้าคาร์ฟูร์อยู่แล้ว เวลานี้ยังคงให้คำตอบไม่ได้ว่าจะถูกเก็บลงจากชั้นวางหรือไม่ ดังนั้นลูกค้ายังคงซื้อสินค้าของ เป๊ปซี่โค ที่วางขายได้จนกว่าของจะหมด (ป้ายประกาศหยุดขายสินค้าของเป๊ปซี่โคจะถูกติดไว้เฉพาะในห้างคาร์ฟูร์ในฝรั่งเศสเท่านั้น)
คาร์ฟูร์ท้าทาย แบรนด์ผู้ผลิต ด้วย แคมเปญ “shrinkflation”
ห้างคาร์ฟูร์ถือว่าเป็นผู้ริเริ่มแคมเปญ shrinkflation หรือเทคนิคการปรับลดขนาดและปริมาณสินค้าลง แต่ขายราคาเดิม ซึ่เท่ากับผู้บริโภคจ่ายแพงขึ้น โดยทางห้างมีการติดป้าบบอกบนผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ปรับขนาดเล็กลง ซึ่งความเคลื่อนไหวของคาร์ฟูร์ในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากรัฐบาลฝรั่งเศสที่กำลังพยายามลดอัตราเงินเฟ้อ โดยรัฐบาลได้ขอให้ผู้ค้าปลีกและซัพพลายเออร์รีบสรุปผลการเจรจาราคาประจำปีในเดือนมกราคม ซึ่งเร็วกว่าปกติสองเดือน
ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อของฝรั่งเศสในเดือนธันวาคม 2023 อยู่ที่ 4.1% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในหมวดอาหารอยู่ที่ 7.1% ลดลงจากเดือนก่อนหน้านี้ซึ่งอยู่ที่ 7.7% ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของฝรั่งเศสเคยขู่ว่าจะเรียกคืนผลกำไรที่ “เกินควร” จากบริษัทอาหารซึ่งได้รับอัตราภาษีพิเศษ หากพวกเขาไม่ส่งต่อต้นทุนที่ลงไปสู่ผู้บริโภคที่กำลังดิ้นรนกับค่าไฟที่สูงอยู่แล้ว
ความขัดแย้งด้านราคาสินค้าระหว่างผู้ค้าปลีกรายใหญ่กับ แบรนด์ สินค้าอุปโภคบริโภค
เป๊ปซี่โค บริษัทผู้ผลิตน้ำอัดลมและขนมขบเคี้ยวรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกจากสหรัฐ ได้ปรับขึ้นราคาสินค้าเมื่อเดือนตุลาคม 2023 ที่ผ่านมา เพราะ กำไรสุทธิของบริษัทลดลงแตะ 1.58 พันล้านดอลลาร์ หรือหุ้นละ 99 เซนต์ เทียบกับ 1.74 พันล้านดอลลาร์ หรือหุ้นละ 1.06 ดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ปัญหาที่ผู้ประกอบการค้าปลีกในหลายประเทศ รวมถึงเยอรมนีและเบลเยียม ได้ประกาศหยุดสั่งซื้อสินค้าจากบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคหลายแห่งสาเหตุจากบริษัทเหล่านั้นปรับขึ้นราคาสินค้า จนทำให่เกิดสงครามการค้าระหว่างผู้ค้าปลีกรายใหญ่กับ แบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคขึ้นเรียกได้ว่า วิธีนี้เป็นกลยุทธ์ในการเจรจาต่อรองราคากับแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคอีกทางหนึ่งก็ว่าได้
ที่มา theguardian