ธุรกิจการตลาด

สรุปธุรกิจ CPALL ค้าปลีกรายใหญ่ ปี 65 รายได้กว่า 8 แสนล้านบาท

27 ก.พ. 66
สรุปธุรกิจ CPALL  ค้าปลีกรายใหญ่ ปี 65 รายได้กว่า 8 แสนล้านบาท

ปี 2565 สภาวะเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวจากการเปิดประเทศ นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศเริ่มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และส่งผลดีกับธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ร้านสะดวกซื้อ ที่ได้รับอานิสงค์ จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ กำลังซื้อของผู้บริโภคกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น

วันนี้ Spotlight จะพามาดูธุรกิจ CPALL ค้าปลีกรายใหญ่ในปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรกันบ้าง

ในปี 2565 CPALL มีกำไรสุทธิ 13,272 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2% จากปีก่อน และมีรายได้รวม 852,605 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.1% เพิ่มขึ้นจากการขายสินค้าและบริการ จำนวน 829,09 ล้านบาท โดยเฉพาะธุรกิจร้านสะดวกซื้อที่ปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ต้นปี จากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว นักท่องเที่ยวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น รวมถึงธุรกิจค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค ทั้งแม็คโคร และโลตัสส์มีรายได้จากการขายและบริการเติบโตเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน 

ทั้งนี้ CPALL มีโครงสร้างรายได้ แบ่งเป็นดังนี้ 

  1. กลุ่มธุรกิจร้านสะดวกซื้อ มีสัดส่วน 42% ของรายได้รวม โดยมีจำนวนสาขาทั่วประเทศรวม 13,838 สาขา ซึ่งปีที่ผ่านมาเปิดไปทั้งหมด 704 สาขา ซึ่งยังคงมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายสาขาในทำเลที่ดี ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด และในปี  2566 มีแผนจะขยายสาขาใหม่อีกประมาณ 700 สาขา เน้นขยายในแหล่งชุมชน โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ แหล่งท่องเที่ยว และทำเลที่มีศักยภาพอื่นๆ 
  2. กลุ่มธุรกิจตค้าส่งค้าปลีก มีสัดส่วน 53% คือ Makro และ Lotus’s มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการรวมธุรกิจแม็คโครและโลตัสเข้ามา
  3. กลุ่มธุรกิจอื่น 6% ประกอบด้วยธุรกิจตัวแทนรับชำระค่าสินค้าและบริการ รวมถึงตัวแทนรับฝากและถอนเงินแทนธนาคาร ธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสำเร็จรูป ธุรกิจจำหน่ายและบริการอุปกรณ์ค้าปลีก และธุรกิจอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่ให้บริการสนับสนุนร้ารน 7-Eleven เป็นหลัก รวมถึงการพัฒนาช่องทางและรูปแบบการจำหน่ายสินค้าใหม่ๆ อาทิ อีคอมเมิร์ซ 

ในปี 2566 CPALL ตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 12,000-13,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการเปิดสาขาใหม่ ประมาณ 3,800-4,000 ล้านบาท ปรับปรุงสาขาเดิม 2,900-3,500 ล้านบาท สำหรับโครงการใหม่ บริษัทย่อยและศูนย์กระจายสินค้า 4,000-4,100 ล้านบาท และสินทรัพย์ถาวร และระบบสารสนเทศ 1,300-1,400 ล้านบาท

สำหรับผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา CPALL มีดังนี้

ปี 2565   รายได้รวม 852,605.22   ล้านบาท  

             กำไรสุทธิ    13,271.71   ล้านบาท

ปี 2564   รายได้รวม 587,189.76   ล้านบาท

              กำไรสุทธิ  12,985.48   ล้านบาท

ปี 2563   รายได้รวม 546,364.02   ล้านบาท

              กำไรสุทธิ  16,102.42   ล้านบาท  

เมื่อวันที่ 23 ก.พ.2566 ที่ผ่านมา CPALL ประกาศผลประกอบการออกมาตัวเลขผลประกอบการในไตรมาส 4/2565 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ราคาหุ้นของ CPALL  ในวันที่ 23 ก.พ.2566 ร่วงลงมาอยู่ที่ 65.00 บาท/หุ้น ลดลง 1.50 บาท/หุ้น และวันที่ 24 ก.พ.66 ร่วงลงมาอยู่ที่ 61.75 บาท/หุ้น ลดลง 3.25 บาท/หุ้น แรงเทขายจากความกังวลที่ผลประกอบการต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ 

โดยบริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) ออกบทวิเคราะห์ว่า ในไตรมาส 4/2565 CPALL มีกำไรสุทธิ 3,138 ล้านบาท ต่ำกว่าที่คาด และลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า 15% และลดลง 53% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด(มหาชน) ระบุว่า กำไรสุทธิต่ำกว่าที่คาดและน้อยกว่า Bloomberg consensus ฉุดลงจากค่าใช้จ่ายพนักงานที่สูงขึ้น 32% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และค่าสาธาณูปโภคที่สูงขึ้น 46%

แต่ในวันนี้ราคาหุ้นของ CPALL กลับขึ้นมาอยู่ในแดนบวก ปิดตลาดวันนี้ (27 ก.พ.66) อยู่ที่ 62.25 บาท/หุ้น โดยสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุนเปิดศูนย์รวมประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียน (IAA Consensus) จากนักวิเคราะห์ทั้งหมด 14 ราย แนะนำ “ซื้อ” 13 ราย และอีก 1 ราย แนะนำ “ถือ” 

โดยบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แม้กำไรในไตรมาส 4/2565 ของ CPALL จะออกมาต่ำกว่าที่คาด แต่คาดว่าผลประกอบการในปี 2566 จะฟื้นตัวมากขึ้น จากการเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีน และ Sentiment ในเชิงบวกจากการเลือกตั้ง

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด(มหาชน) คาดการณ์ว่า กำไรสุทธิปี 2566 CPALL มีกำไรสุทธิ 18,477 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% จากปีก่อน  จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐช่วงก่อนการเลือกตั้ง และคาดว่าต้นทุนเชื้อเพลิงปรับตัวลดลงตั้งแต่ต้นปี 2566 ทำให้คาดว่าค่าสาธารณูปโภคจะปรับลดลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้  โดยแนะนำ “ซื้อ” โอกาสดีในการเข้าสะสม มูลค่าพื้นฐาน 72 บาท/หุ้น  

ดังนั้น หุ้น CPALL ยังเป็นหุ้นที่น่าสนใจที่จะเข้าซื้อสะสมในขณะนี้ เพราะเป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกที่จะได้รับอานิสงค์จากการบริโภคภายในประเทศ โดยเฉพาะช่วงก่อนเลือกตั้งที่จะมีการจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้นกว่าปกติ ไม่นับรวมภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว

advertisement

SPOTLIGHT