กระแสความร้อนแรงของรถ EV เพิ่งเริ่มต้น และจะไม่ซาลงง่ายๆ แม้ในปีที่ผ่านมาจะเกิดปรากฏการณ์แห่จองรถ EV ที่หน้าโชว์รูม ในงาน Motor Expo อย่างล้นหลาม แต่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) คาดการณ์ว่า ปีหน้า ยอดจดทะเบียนใหม่รถยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV เพิ่มขึ้นทะลุ 230%
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รายงานการส่งเสริมการลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าถึงเดือน พ.ย.2565 อนุมัติส่งเสริมการลงทุน 26 โครงการ จาก 17 บริษัท มูลค่าการลงทุนรวม 80,208 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและเงินลงทุนหมุนเวียน) รวมจำนวนรถที่จะมีการผลิต 839,775 คัน โดยมีแบรนด์ที่ผลิตเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์แล้ว 11 บริษัท ครอบคลุมทั้ง Hybrid Electric Vehicle (HEV), Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV) , Battery Electric Vehicle (BEV) และ Battery Electric Bus
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มของตลาดรถ EV ในปี 2566 จะเติบโตต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าในปีหน้าจะมียอดจดทะเบียนใหม่รถยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV ในประเทศอยู่ที่ 25,000-35,000 คัน ซึ่งถือเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับยอดจดทะเบียนใหม่ในช่วง 11 เดือนปีนี้ (ม.ค. - พ.ย.) อยู่ที่ 18,135 คัน เทียบช่วงเดียวกันกับปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 234.53% ด้วยปัจจัยสนับสุนจากมาตรการอุดหนุนผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐและมาตรการทางภาษีที่ยังมีผลในปี 2566
รวมถึงการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานด้านสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ครอบคลุมมากขึ้นในหลายพื้นที่ และราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยยอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV ของเดือน พ.ย. 2565 อยู่ที่ 2,878 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 257%
ค่ายรถยักษ์ใหญ่แห่บุกตลาด EV ไทย เสริมความมั่นใจผู้บริโภค
นอกจากนี้ ในฝั่งผู้บริโภคยังมีความเชื่อมั่นในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นหลังจากที่มีค่ายรถยนต์ระดับโลกตัดสินใจเข้ามาลงทุนสร้างฐานการผลิตและตั้งสำนักงานขายในประเทศ ซึ่งจะเริ่มมีการผลิต EV ในไทยตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป อีกทั้งมีรายงานวิเคราะห์ว่าราคารถ EV ใน 4 ปีข้างหน้า หรือปี 2569 จะเทียบเท่าหรือต่ำกว่ารถเครื่องยนต์สันดาปภายใน
“ทั้งนี้ ราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นของแร่ลิเธียมทำให้มีแนวโน้มว่าจะมีการผลิตแบตเตอรี่ด้วยโซเดียมไออนและแร่ธาตุอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งมองว่าอาจเป็นโอกาสของไทยที่จะมีโรงงานผลิตแบตเตอรี่โซเดียมในประเทศ โดยเป็นแร่ที่มีมากในภาคอีสาน และสนับสนุนให้อุตสาหกรรม EV ในประเทศมีศักยภาพในการแข่งขันสูงขึ้น”
อย่างไรก็ตาม ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นทั้งจากราคาวัตถุดิบของแร่ลิเธียมในการผลิตแบตเตอรี่ ค่าพลังงาน ค่าไฟฟ้า และค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้นจะมีผลต่อการปรับขึ้นราคาขายรถยนต์ในปีหน้า รวมทั้งปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เป็นปัจจัยกังวลและความเสี่ยงลำดับต้นๆ ที่ต้องเฝ้าระวัง
ยอดผลิตรถยนต์โต จากสถานการณ์ ‘ชิปขาดแคลน’ คลี่คลาย
นอกจากนี้ ส.อ.ท.รายงานจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือน พ.ย.2565 อยู่ที่ 190,155 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 15% เนื่องจากได้รับชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้น ทำให้สามารถผลิตเพื่อส่งออกได้เพิ่มขึ้น 19.12% โดยภาพรวมจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือน ม.ค.-พ.ย.2565 มีจำนวน 1.72 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 20.95% ทำให้ประเมินว่ายอดการผลิตรถยนต์ทั้งปี 2565 เป็นไปได้ตามเป้าหมายเดิมที่ 1.80 ล้านคัน ก่อนที่จะมีการปรับลดลงหลังสถานการณ์ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ที่ปะทุขึ้นในช่วงต้นปี รวมทั้งการล็อกดาวน์เมืองสำคัญของจีนที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป)
“ด้วยสถานการณ์ขาดแคลนชิปที่เริ่มคลี่คลายตั้งแต่เดือน ส.ค.หลังจากดีมานต์ของสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เริ่มลดลง ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ได้รับส่งมอบชิปมากขึ้น สำหรับในปี 2566 โดยเบื้องต้นประเมินว่าจะมียอดผลิตรถยนต์เทียบเท่าในปีนี้ อยู่ที่ 1,850,000-1,950,000 โดยจะสรุปตัวเลขเป้าหมายปีหน้าอย่างเป็นทางการอีกครั้งในเดือน ธ.ค.นี้”
ภาคท่องเที่ยวฟื้น ดันตลาดรถยนต์โตตาม
ทั้งนี้ ในปี 2566 อุตสาหกรรมยานยนต์มีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ 21 ล้านคน หรือมากกว่านั้นหากจีนมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เพิ่มขึ้น นอกจากนี้มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย การประกันรายได้เกษตรกร และการลงทุนโดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีสถิติการลงทุนในปีนี้กว่า 120,000 ล้านบาท รวมทั้งการเลือกตั้งในปีหน้าจะเป็นตัวกระตุ้นเม็ดเงินเข้าสู่ระบบมากยิ่งขึ้น
สำหรับ ยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือน พ.ย.2565 อยู่ที่ 87,979 คัน ลดลงจากปีก่อน 10.98% เพราะส่งออกได้แค่ 81.96% ของยอดผลิตเพื่อส่งออกจากการขาดแคลนพื้นที่จอดรถยนต์ส่งออกในเรือประเภทบรรทุกสินค้าที่มีล้อ และมีมูลค่าการส่งออก 56,071.91 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อน 2.89%
ขณะที่ยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปช่วง 11 เดือนของปีนี้ อยู่ที่ 888,651 คัน โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2564 ในระยะเวลาเดียวกัน 3.59% และมีมูลค่าการส่งออก 553,354 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.64%
“คาดว่ายอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปจะเป็นไปตามเป้าที่มีการปรับใหม่ช่วงกลางปี อยู่ที่ 9 แสนคัน แต่จะไม่ถึงเป้าหมายเดิมคือ 1 ล้านคัน เนื่องจากมีปัญหาขาดพื้นที่บรรทุกบนเรือที่จะขนส่งไป เพราะแต่ละประเทศสามารถผลิตได้เพิ่มขึ้นก็มาแย่งพื้นที่บรรทุกกัน”
ส่วนยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือน พ.ย.อยู่ที่ 68,284 คัน ลดลงจากปีก่อน 4.79% เพราะมีน้ำท่วมในหลายพื้นที่ทำให้ขายได้เพียง 79.16% ของยอดการผลิตเพื่อขายในประเทศ ทั้งนี้เศรษฐกิจในประเทศเริ่มฟื้นตัวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศ 9 ล้านกว่าคน รวมทั้งนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศมีเงินลงทุนกว่าหนึ่งแสนล้านบาท ส่งผลให้คนมีงานทำเพิ่มขึ้นมีรายได้เพิ่มขึ้น ทำให้มียอดขายเพิ่มขึ้นจากเดือน ต.ค.ปีนี้ 5.67%
ดันอุตสาหกรรมผลิตแบตเตอรี่ เร่งเครื่องสู่เป้าหมาย ‘Carbon Neutrality’
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน ในฐานะเลขานุการร่วมของบอร์ดอีวีขับเคลื่อนนโยบายอีวีให้บรรลุตามเป้าหมาย 30@30 หนุนประชาชนให้ซื้อรถ EV ในราคาที่เข้าถึงได้
ซึ่งในงาน "Motor Expo 2022" ที่ผ่านมา พบว่ามียอดจองกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าหรือรถ EVกว่า 5,800 คัน หรือกว่า 15% ของยอดจองทั้งหมด ถือเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่ทำให้เห็นว่า ประชาชนมีความสนใจในรถ EV มากขึ้น ภาครัฐจึงต้องเร่งส่งเสริมเพื่อเพิ่มสถานีอัดประจุไฟฟ้า รองรับการใช้งานได้อย่างทั่วถึง และล่าสุดได้ส่งเสริมการพัฒนา EV Platform เพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้ใช้รถ EV ตั้งแต่การค้นหา จอง ชาร์จ และจ่ายเงินทำให้เป็นเรื่องง่ายและสะดวกต่อผู้ใช้งานอีกด้วย
นอกจากนี้ สนพ.ยังได้เตรียมเสนอมาตรการส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและการใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถมุ่งไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และการใช้พลังงานสะอาดตามกรอบแผนพลังงานชาติได้เป็นอย่างดี