ธุรกิจการตลาด

ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ขยายสู่ Budget Hotel ทุ่ม 800 ล้าน เปิด 9โรงแรมราคาประหยัด

23 ก.พ. 65
ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ขยายสู่ Budget Hotel  ทุ่ม 800 ล้าน เปิด 9โรงแรมราคาประหยัด

ดิ เอราวัณ กรุ๊ปเป็นผู้ประกอบการโรงแรมรายใหญ่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากโควิด-19 ระบาดทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เคยเป็นลูกค้าหลักหายไปจึงเป็นที่มาทำให้บริษัทต้องปรับกลยุทธ์ธุรกิจมาลุย Budget Hotel เพื่อเน้นการทำตลาดในประเทศ

 

นายเพชร ไกรนุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) กล่าวว่า แผนในปีนี้บริษัทจะใช้เงินประมาณ 800 ล้านบาท เพื่อลงทุนโรงแรมใหม่ที่อยู่ระหว่างการพัฒนามีทั้งหมด 9 โรงแรม แบ่งออกเป็นประเทศไทย7 แห่ง และประเทศฟิลิปปินส์ 2 แห่ง และคาดว่าจะเริ่มทยอยเปิดได้ตั้งแต่ไตรมาส 1 ของปีนี้

 

โดยโรงแรมในประเทศไทยยังคงเป็นแบรนด์ฮ็อป อินน์ทั้งหมด ขณะที่โรงแรมใหม่ที่กำลังจะเปิดในประเทศฟิลิปปินส์ นั้น ได้แก่ฮอลิเดย์ อินน์ และ ฮ็อป อินน์ เซบู บิสสิเนส พาร์คซึ่งเป็นโรงแรมแห่งแรกของบริษัทในฟิลิปปินส์ที่ใช้โมเดล “Combo Hotels” ผสมกันระหว่างแบรนด์ฮอลิเดย์ อินน์ซึ่งเป็นแบรนด์ระดับโลก และแบรนด์ฮ็อป อินน์ ซึ่งเป็นแบรนด์ของบริษัท

 

 

ทิศทางธุรกิจของ ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ในอนาคตเราตั้งเป้าจะเป็นผู้นำเครือข่ายโรงแรมบัดเจ็ทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และยกระดับมาตรฐานการให้บริการโรงแรมระดับบัดเจ็ททั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ

 

 

ทั้งนี้ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เปิดในบริการโรงแรมฮ็อป อินน์ซึ่งบริษัทเป็นผู้ลงทุนและบริหารเองมาโดยตลอดนั้น แบรนด์ฮ็อป อินน์ได้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และเป็นที่ยอมรับของนักเดินทางในประเทศไทยในด้านราคาที่คุ้มค่า ห้องพักที่ได้มาตรฐาน และการบริการที่อำนวยความสะดวกตอบสนองลูกค้าชาวไทยได้อย่างดี

 

 

ดังนั้นทำให้ในปีนี้บริษัทได้มีความพร้อมในการเพิ่มโมเดลธุรกิจสำหรับการขยายเครือข่ายแบรนด์ฮ็อป อินน์ในรูปแบบของแฟรนไชส์ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้สามารถเพิ่มเครือข่ายฮ็อป อินน์ในพื้นที่ยังไม่มีโรงแรมฮ็อป อินน์หรือในอำเภอรองต่างๆ

 

 

โดยจะเปิดให้ผู้ลงทุนเข้าร่วมได้ทั้งรูปแบบสร้างใหม่และปรับปรุงอาคารเดิม และบริษัทได้เตรียมทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่จะให้คำแนะนำแก่ผู้ลงทุนตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนสามารถบริหารโรงแรมได้เองภายใต้มาตรฐานของ ฮ็อป อินน์

 

 

โรงแรมของเราที่บริหารเองและแฟรนไชส์ที่กำลังจะเกิดขึ้นจะผนึกกำลังเป็นเครือข่ายโรงแรมบัดเจ็ทที่แข็งแกร่งและมีคุณภาพ ด้วยราคาห้องพักที่คุ้มค่า รูปแบบโรงแรมและการบริการที่ได้มาตรฐานระดับดีเยี่ยมเท่ากันทุกสาขา อีกทั้งครอบคลุมทุกจุดหมายปลายทางของนักเดินทางทั้งเมืองหลักและเมืองรอง

 

 

โดยตั้งเป้าหมายว่าจะมีจำนวนโรงแรมบัดเจ็ทในประเทศไทยให้ถึง 100 แห่ง ในปี 2568 ครอบทุกภูมิภาคทั่วประเทศจากปัจจุบันที่มีโรงแรม ฮ็อป อินน์ ที่เปิดให้บริการแล้ว ทั้งหมด 47 แห่ง และกำลังดำเนินการพัฒนาอีก  7 แห่ง

 

 

นอกจากการขยายเครือข่ายโรงแรมฮ็อป อินน์ บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาจุดแข็งทางการแข่งขันของแบรนด์ฮ็อป อินน์อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนานวัตกรรมต่างๆ สำหรับช่องทางการให้บริการภายในโรงแรมตั้งแต่การจองห้องพักจนถึงการเข้าพัก การพัฒนาระบบสมาชิก HOP INN ให้เข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มทั้งลูกค้าธุรกิจ และลูกค้าท่องเที่ยว

 

 

รวมถึงการปรับรูปแบบโรงแรมและห้องพักให้ทันสมัยอยู่เสมอ นอกจากนี้สิ่งที่บริษัทยังให้ความสำคัญคือมาตรการSafe Stay at HOP INN ที่โรงแรมฮ็อป อินน์ทุกแห่งต้องปฏิบัติตามมาตรการด้านความสะอาดและปลอดภัยอย่างเคร่งครัด

 

 

 

ทั้งนี้นับตั้งแต่ ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ได้ก่อตั้งมาเป็นเวลาเกือบ 40 ปี วิกฤติโรคระบาดโควิด-19 ในช่วงเวลาเกือบ 2 ปีที่ผ่านมาเป็นสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทที่รุนแรงและยาวนานมากที่สุด โดยที่ผ่านมาบริษัทได้บริหารงานโดยเน้นการปรับตัวตามสถานการณ์และปรับเปลี่ยนแผนรับมือเพื่อลดผลกระทบและความเสี่ยงต่อการดำเนินธุรกิจอยู่ตลอดเวลา

 

 

การดำเนินธุรกิจภายใต้สถานการณ์วิกฤติในช่วงเวลาที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ก็ทำให้เรามีการปรับตัวที่ยืดหยุ่น และเรียนรู้วิธีการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจากสถานการณ์การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวภายหลังการปลดล็อกมาตรการครั้งล่าสุดทำให้เรามีความมั่นใจว่าการท่องเที่ยวในประเทศได้เริ่มมีการฟื้นตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น

 

 

โดยกลุ่มโรงแรมบัดเจ็ทของเราซึ่งเป็นกลุ่มที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดในช่วงสถานการณ์โควิด-19 มีการฟื้นตัวของอัตราเข้าพักที่รวดเร็ว โดยมีอัตราการเข้าพักเกิน 60% ในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา และบางสาขาสามารถทำอัตราเข้าพักได้ถึง 80-90%”

 

 สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาของกลุ่มโรงแรมฮ็อป อินน์ตอกย้ำให้บริษัทมีความมั่นใจในแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นการขยายเครือข่ายโรงแรมบัดเจ็ทให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

ขณะที่คาดว่าแนวรายได้ในในปีนี้มีโอกาสเติบเพิ่มขึ้นจาก 2564 เนื่องจากเริ่มหลายประเทศทยอยผ่อนคลายการเดินทางระหว่างประเทศแล้ว รวมถึงบางประเทศในยุโรปกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติซึ่งดำเนินนโยบายคล้ายกับไวรัสโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น แต่ยอมรับว่าผลประกอบการของบริษัทในปีนี้จะยังขาดทุนต่อเนื่อง เพราะการเดินทางระหว่างประเทศยังไม่สามารถทำได้ปกติ

 

รวมถึงต้องรอให้กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าเดินทางกลับมาท่องเที่ยวได้สู่ภาวะปกติ ดังนั้นคาดว่าจะใช้เวลาประมาณอีก 1-2 ปีจะทำให้บริษัทกลับมามีผลประกอบการที่มีกำไร

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT