สาหร่ายเถ้าแก่น้อยที่คนไทยรู้จัก ปัจจุบันก็มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมในตลาดต่างประเทศด้วยเช่นกัน ล่าสุดผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของปี2566 และภาพรวมครึ่งแรกของปีนี้พบว่า กำไรสุทธิเติบโตขึ้นจากปีก่อนกว่า 170% ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวดีทั้งในตลาดจีน สหรัฐฯ รวมถึงในไทยเองก็ฟื้นตัวขึ้น
นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสาหร่ายทะเลแปรรูปทั้งในและต่างประเทศภายใต้ตราสินค้า “เถ้าแก่น้อย” เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2566 (เมษายน - มิถุนายน) บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 1,304 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้จากการขายรวมทั้งสิ้น 958 ล้านบาท
และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 195 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 175% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 71 ล้านบาท โดยสามารถทำอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ในระดับ 15% นับเป็นผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่ง
ขณะที่ผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-มิถุนายน 2566) มีรายได้จากการขาย 2,548 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้จากการขาย 1,926 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 361 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 170% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 134 ล้านบาท ถือว่าเติบโตได้เกินเป้าหมายที่วางไว้
ปัจจัยความสำเร็จของยอดขายและกำไร
1.การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย (Product Mix) ด้วยการเพิ่มแบบการอบเข้ามา ทำให้มีมาร์จิ้นสูงขึ้น
2.การสร้างยอดขายในตลาดต่างประเทศ (Sale Export) ได้มากขึ้น ซึ่งตลาดที่เติบโตได้ดี คือ ประเทศจีนที่ยอดขายเทิร์นอะราวด์ กลับมาใกล้เคียงก่อนช่วงสถานการณ์โควิด-19 และสหรัฐอเมริกาที่มียอดคำสั่งซื้อเข้ามาเพิ่มขึ้นหลังจากบริษัทฯ ได้เข้าไปเจาะตลาดตลาด Mainstream
ส่วนยอดขายตลาดในประเทศยังคงทรงตัว หลังจากได้เปลี่ยนแปลงตัวแทนจำหน่ายสินค้า (Distributor) ไปในช่วงที่ผ่านมา โดยแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายท้องถิ่นกว่า 14 รายทั่วประเทศ เพื่อกระจายสินค้าในช่องทางร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) ปัจจุบันเริ่มมียอดขายเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปลายไตรมาส 2/2566 และคาดว่าจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นหลังจากนี้
กลับมาเปิดร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์ในแหล่งท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตาม การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้นจะเป็นส่วนช่วยสนับสนุนยอดขายของ TKN ได้เป็นอย่างดี โดยบริษัทฯ ได้กลับมาเปิดร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์ (Taokaenoi Land) ในแหล่งท่องเที่ยว ได้แก่ สาขาเอเชียทีคเดอะริเวอร์ฟร้อนท์ (Asiatique The Riverfront) และนำสินค้าเข้าไปขายแบบ Shop in Shop ร่วมกับเดอะมอลล์ สกายพอร์ตภายในสนามบินดอนเมือง รองรับการกลับมาของกลุ่มนักท่องเที่ยว ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนจะเปิดสาขาเพิ่มมากขึ้นโดยพิจารณาจากโลเคชั่น และทำเลเป็นหลัก
เปิดกลยุทธ์ 3GO ในการบริหารจัดการธุรกิจ
- GO FIRM คือการปรับองค์กรให้กระชับ ลดต้นทุน และควบคุมค่าใช้จ่าย (Productivity)
- GO BOARD คือการขยานฐานกลุ่มธุรกิจให้กว้างขึ้ นและสร้างคุณค่า รวมถึงการยกระดับตราสินค้า (Branding)
- GO GLOBAL คือการขยายตลาดต่างประเทศให้มีคุณภาพและมีความยั่งยืน (Sustainability)
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TKN กล่าวว่า ในช่วงที่เหลือของปีบริษัทฯ จะมุ่งมั่นดำเนินกลยุทธ์ "3GO" อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ "GO Firm" คือการปรับองค์กรให้กระชับ (Lean) คล่องตัวและรวดเร็วขึ้น เพื่อลดต้นทุน ควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษากำไรสุทธิ (Bottom Line) ให้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา
พร้อมกันนี้ ยังผลักดันกลยุทธ์ "GO Broad" ด้วยการขยายฐานธุรกิจให้กว้างขึ้นและมีคุณค่า ผ่านการพัฒนาสินค้านวัตกรรมกลุ่มใหม่ๆ (Innovation Food) เข้าสู่ตลาด รวมถึงเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้ามากขึ้น เพื่อไปสู่ "Go Global" คือการขยายตลาดในต่างประเทศที่มีศักยภาพ ผลักดันยอดขายให้เติบโตต่อเนื่อง
แนวโน้มและความท้าทายของธุรกิจในครึ่งปี หลังของ ปี2566
บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการสร้างการเติบโตของยอดขายอย่างต่อเนื่องในครึ่งปี หลังของปี 2566 ควบคู่ไปกับการรักษาระดับการทำกำไรให้แข็งแรง โดยคาดว่าจะได้รับปัจจัยเสริมในประเทศจากแนวโน้มของปริมาณนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในไตรมาส 4 ในช่วงสัปดาห์หยุดยาวของประเทศจีน หรือ โกลเด้น วีค (Golden Week) ที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นกว่าในครึ่งปีแรก
รวมถึงการเติบโตของการบริโภคสาหร่ายจากการส่งเสริมการตลาดและนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สู่ผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้น และปัจจัยเสริมของตลาดต่างประเทศจากการฟื้นตัวของศรษฐกิจในประเทศจีนที่มีแนวโน้มดีขึ้นอีกในครึ่งปี หลังโดยมีการทำการตลาดของบริษัทฯ ทั้งในช่องทางออนไลน์และ
ออฟไลน์เพื่อเพิ่มอุปสงค์ในสินค้าเถ้าแก่น้อยให้สูงขึ้น และการขยายสินค้าและช่องทางในประเทศหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา อินโดนีเซียที่มีโมเมนตั้มจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยกิจกรรมทางการตลาดและนวัตกรรมสินค้าใหม่เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคให้มากขึ้น
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังคงเห็นความท้าทายในส่วนของการบริหารต้นทุนจากภาวะเงินเฟ้อที่ทำให้ต้นทุนในวัตถุดิบหลายๆ อย่างยังอยู่ในระดับราคาที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจากครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้มีแผนงานในการปรับราคาของสินค้าบางรายการหากต้นทุนสูงขึ้นเพื่อรักษาระดับการทำกำไรขั้นต้นบางส่วน ควบคู่ไปกับการมุ่งเน้นการบริหารการผลิตให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นและมีต้นทุนการผลิตที่ลดลงจากการเติบโตของรายได้ เพื่อรักษาระดับการทำกำไรให้ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้พิจารณาจากงบเฉพาะกิจการและอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน 2566) ในอัตราหุ้นละ 0.21 บาท ซึ่งกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 6 กันยายน 2566 ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ