ธุรกิจการตลาด

Netflix ไม่ได้ดังแค่หนังเกาหลี "คังคุไบ" เปิดโลกสตรีมมิ่ง "บอลลีวูด" 8 แสนล้าน

18 พ.ค. 65
Netflix ไม่ได้ดังแค่หนังเกาหลี "คังคุไบ" เปิดโลกสตรีมมิ่ง "บอลลีวูด" 8 แสนล้าน

กระแสของภาพยนต์อินเดียเรื่อง Gangubai Kathiawadi  (คังคุไบ กฐิยาวาฑี) ใน Netflix สำหรับประเทศไทยตอนนี้ถือว่าไวรัลไม่หยุดจริงๆ สร้างผลต่อเนื่องไปยังบรรดาร้านขายเสื้อผ้าชุดสาหรี่แบบอินเดีย ขายดิบขายดีไปตามๆกัน เพราะทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ ตามออกมาสวมบทบาท เหมือน อาเลีย บาตต์ นางเอกของเรื่องคังคุไบลงในโซเชี่ยลมีเดีย เห็นแล้วนึกถึงกระแสของ ชุดโกโกวา จากภาพยนต์เกาหลีใต้เรื่อง Squid game ของ Netflix เมื่อปีที่แล้วที่ฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง  

 

ภาพยนต์ คังคุไบ ถูกสร้างขึ้นมาโดยอ้างอิงจากชีวิตของ คังคุไบ ฮาร์จีวันดัส  โสเภณีคนดังแห่งเมืองมุมไบ ที่ถูกถ่ายทอดเป็นนวนิยายมาก่อนเรื่อง “Mafia Queen of Mumbai” เขียนโดย “ฮุสเซน ไซดี” (Hussain Zaidi) และเปิดฉายครั้งแรกในงานเทศกาลหนังที่เบอร์ลินราวเดือน กุมภาพันธ์ หลังจากนั้นไม่กี่วันก็กลับมาฉายที่โรงภาพยนต์ในอินเดีย สร้างกำไรให้กับผู้ผลิตได้กว่า 400 ล้านบาท จากรายได้ในอินเดีย 900 ล้านบาท ส่วนต้นทุนการสร้างอยู่ที่ 500 ล้านบาท

 

ความปังของคังคุไบ เข้าตา Netflix จนถูกนำมาออกอากาศจนโด่งดั่งไปทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศไทย ซึ่งวันนี้ Spotlight จะพาไปดูยุทธศาสตร์ของ Netflix กับคอนเท้นท์จากอินเดียว่ามีความสำคัญมากน้อยแค่ไหน  

  

Sacred Games หรือชื่อภาษาไทยคือ “เกมล่า ศาสนาคลั่ง ล้างมุมไบ”
ตัวละครจาก Sacred Games หรือชื่อภาษาไทยคือ “เกมล่า ศาสนาคลั่ง ล้างมุมไบ” - ภาพจาก Netflix

 

อินเดีย คือโอกาสของ Netflix

 

หนังเรื่อง Gangubai Kathiawadi ไม่ใช่ Netflix Originals ที่บริษัทผลิต แต่มีการไปซื้อลิขสิทธิ์เข้ามาด้วยมูลค่าสูงถึง 700 ล้านรูปีอินเดีย หรือคิดเป็นเงินไทยแบบเร็วๆก็ราวๆ 312 ล้านบาท แล้วมันก็ปัง!อย่างที่ตั้งใจเพราะหนังเรื่อง Gangubai Kathiawadi ติดอันดับความนิยมใน Netflix อย่างง่ายดาย

 

ตลาดอินเดียถือว่าเป็นตลาดที่บริษัทอย่าง Netflix ต้องการเข้าไปตีตลาดให้ได้ เพราะจำนวนประชากรอินเดียสูงถึงกว่า 1,300 ล้านคน รวมถึงยังโอกาสใหม่ๆ อีกมากมาย แต่นั้นก็เป็นโอกาสของคู่แข่งรายอื่นๆด้วยเช่นกันที่ต้องการยึดครองตลาดวิดีโอสตรีมมิ่งในอินเดีย

 

เราอาจได้ยินว่าอินเดียนั้นมีอุตสาหกกรรมบันเทิงที่ยิ่งใหญ่ นั่นก็คือ Bollywood ของอินเดีย ซึ่งเราน่าจะเคยเห็นละคร หรือภาพยนตร์ผ่านตามาบ้าง แต่ภาพจำของคนส่วนใหญ่นั่นก็คือการเต้นแบบอินเดีย หรือบทละครที่เป็นรูปแบบเฉพาะของชาวอินเดีย

 

อุตสาหกรรม Bollywood ในอินเดียเป็นเพียงแค่ส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น โดยข้อมูลจาก EY มูลค่าตลาดความบันเทิงของอินเดียนั้นสูงถึง 1.89 ล้านล้านรูปี หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 843,632 ล้านบาท

 

 อาเลีย บาตต์ นางเอกของเรื่องคังคุไบ
 อาเลีย บาตต์ (Alia Bhatt) นางเอกของเรื่องคังคุไบ กฐิยาวาฑี - ภาพจาก AFP

 

 

Netflix ลงทุนไปกับอินเดียไม่น้อย

 

โดยยักษ์ใหญ่ผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งนี้เปิดตัวครั้งแรกในอินเดียในปี 2016 ขณะที่ Netflix Originals เรื่องแรกของที่ผลิตในอินเดียอย่าง Sacred Games หรือชื่อภาษาไทยคือ “เกมล่า ศาสนาคลั่ง ล้างมุมไบ” ที่ผลิตในปี 2018 ก็ได้เสนอเข้าชิงรางวัล International Emmy Award ด้วย นั่นแสดงให้เห็นว่า  Netflix พยายามที่จะทั้งพัฒนาคอนเทนต์ที่ดีและได้รับความนิยมในเวลาเดียวกัน พูดง่ายๆ ว่า ต้องการทั้งเงินและกล่องไปในตัว

 

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่แค่ชาวอินเดียที่ดูเฉพาะคอนเทนต์ในประเทศเท่านั้น แต่ Monika Shergill รองประธานดูแลด้านคอนเทนต์ของประเทศอินเดียได้กล่าวกับเว็บไซต์ Variety ว่า ในช่วงที่ผ่านมาคนอินเดียดูคอนเทนต์จากเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น 400% คอนเทนต์ที่ใช้ภาษาสเปนเพิ่มขึ้น 100% นั่นแปลว่าโอกาสของ Netflix ที่เห็นในอินเดียก็มากเช่นกันจากพฤติกรรมคนดูเหล่านี้ และนั่นทำให้หลายบริษัทต่างเทเงินเข้าไปในอุตสาหกรรมบันเทิงอินเดียอย่างมาก รวมถึงความหวังว่าชาวอินเดียเองก็จะเสพคอนเทนต์จากประเทศอื่นๆ เช่นกัน

 

ในปี 2019 Reed Hastings ซึ่งเป็น CEO ของ Netflix ได้ประกาศลงทุนในประเทศอินเดียมูลค่าสูงถึง 420.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งไม่เคยมีบริษัทเทคโนโลยีไหนลงทุนด้วยเม็ดเงินมากขนาดนี้ โดยเขาได้กล่าวว่าเพื่อที่จะพัฒนาคอนเทนต์ที่จะตอบโจทย์ชาวอินเดีย

 

สำหรับการลงทุนของ Netflix สำคัญขนาดไหน ในปี 2019 เขาได้ยกตัวอย่างเรื่อง Mighty Little Bheem ซึ่งเป็นแอนิเมชั่นสำหรับเด็กซึ่งผลิตโดย Rajiv Chilaka เจ้าของสตูดิโอแอนิเมชั่นในอินเดีย โดยแอนิเมชั่นเรื่องนี้มีผู้ชมนอกประเทศอินเดียรับชมไปแล้วกว่า 27 ล้านครั้งด้วยกัน

 

นอกจากนี้เขายังมองว่า 5-10 ปีหลังจากนี้จะเป็นปีของโทรทัศน์ เนื่องจากหลายบริษัทได้ลงมาผลิตคอนเทนต์ทั้งหลากหลาย และมีความจริงจัง ไม่ว่าจะเป็น Apple Amazon รวมถึง Netflix เอง นอกจากนี้เขายังมองว่าหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ได้ผลิตคอนเทนต์เหล่านี้มากมาย และส่งออกคอนเทนต์เหล่านี้ด้วย

 

โดยในปี 2021 ที่ผ่านมาบริษัทได้ตั้งงบลงทุนสำหรับผลิตและซื้อคอนเทนต์มากถึง 17,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 588,200 ล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินเหล่านี้ได้ลงทุนไปตามประเทศต่างๆ รวมถึงอินเดีย

 

ขณะเดียวกัน บริษัทเองได้ตั้งสตูดิโอสำหรับขั้นตอนหลังการผลิต (Post-Production) ในเมืองมุมไบ และจะสามารถเริ่มใช้งานได้ในเดือนมิถุนายน 2022 ซึ่งสามารถตัดต่อหรือแก้ไขหนังหรือละครได้พร้อมกันมากถึง 40 เรื่องพร้อมกันได้ทันที ทำให้เราเห็นว่าประเทศอินเดียเองนั้น Netflix ก็มองการลงทุนนี้ในระยะยาวเช่นกัน

 

ข้อมูลจาก Business Standard สื่อธุรกิจในอินเดียได้รายงานว่าในปี 2021 ที่ผ่านมา Netflix ได้ผลิต Netflix Original ทั้งภาพยนตร์และซีรี่ส์อินเดียถึง 28 เรื่อง

 

กีฬาคริกเก็ต
กีฬาคริกเก็ต หนึ่งในคู่แข่งสำคัญของ Netflix ซึ่งดึงเวลาคนดูชาวอินเดียไป - ภาพจาก AFP

 

แต่ Netflix  ยังตีตลาดอินเดียไม่แตก

 

สำหรับตลาดอินเดีย Reed Hastings ซึ่งเป็น CEO ของ Netflix ได้กล่าวในช่วงปี 2021 ว่าบริษัทพยายามหาวิธีที่จะเจาะตลาดนี้ และมองว่าอินเดียยังมีโอกาสอีกมาก เขายังได้ยกตัวอย่างของการลงทุนใน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ในช่วงอดีตว่าเหมือนกับเป็นการเสี่ยงโชค แต่เราจะเห็นว่าในปัจจุบันคอนเทนต์จาก 2 ประเทศนี้หลายเรื่องประสบความสำเร็จและครองใจคนดูเป็นจำนวนมาก รวมถึงชาวไทยด้วย

 

ความพยายามตีตลาดอินเดียเองไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากคู่แข่งของ Netflix ในอินเดียมีทั้งคู่แข่งอื่นๆ อย่าง Amazon ที่มีสมาชิกมากถึง 22 ล้านราย รวมถึงคู่แข่งสำคัญนั่นก็คือ Disney ที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มอย่าง Hotstar ซึ่งมีสมาชิกมากถึง 36.9 ล้านราย

 

สำหรับยอดสมาชิกของ Netflix ในอินเดียนั้นไม่มีการเปิดเผยแต่อย่างใด แต่ทาง Business Standard สื่อจากประเทศอินเดียได้อ้างอิงบริษัทวิจัยด้านสื่อ โดยประมาณการว่าอินเดียมีผู้สมัครเป็นสมาชิกราวๆ 5.5 ล้านคนเท่านั้น

 

ปัญหาอย่างหนึ่งของอินเดียนั่นก็คือรายได้ประชากรต่อหัวที่ยังน้อย ทำให้ Netflix เองไม่สามารถที่จะออกแพ็คเกจราคาสูงเหมือนกับประเทศอื่นได้ ขณะเดียวกันก็ต้องหาทางที่จะหาราคาที่เหมาะสมสำหรับแพ็คเกจราคาถูกสำหรับชาวอินเดีย เพื่อที่จะหารายได้ให้คุ้มกับสิ่งที่ลงทุนไป

 

ไม่เพียงเท่านี้ ความบันเทิงของชาวอินเดียส่วนใหญ่คือการรับชมกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกีฬาอย่างคริกเกต ซึ่งแพลตฟอร์มคู่แข่งอย่าง Hotstar มีถ่ายทอดสดให้รับชม ก็ทำให้การที่ผู้ใช้งานอินเดียจะหันมาสมัครสมาชิก Netflix นั้นยากไปอีก

 

นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่น่ากังวลสำหรับ Netflix นั่นก็คือราคาหุ้นที่ตกลงอย่างหนัก ขณะเดียวกันต้นทุนทางการเงินของบริษัทก็มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ทำให้บริษัทอาจต้องตัดงบลงทุน ซึ่งมีแนวโน้มว่าอินเดียก็อาจเป็นหนึ่งในประเทศที่โดนตัดลดงบนี้ก็เป็นได้...ต้องรอดูกันต่อไปว่าจากกระแส   Gangubai Kathiawadi  จะเห็นการตัดสินใจทุ่มเงินของ Netflix ไปกับภาพยนต์อินเดียเรื่องอื่นหรือไม่ แต่ทีแน่ๆ ตอนนี้คนไทยจำนวนมากกลายเป็นแฟนคลับหนังอินเดียไปแล้ว ..

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT