เชื่อว่าตอนนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่นกับปรากฏการณ์ขายของในมิติใหม่ ทุบสถิติทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้น Live ขาย 10 นาที คิดค่าตัว 50,000 บาทด้วยกติกาให้แค่ 1,000 ออเดอร์ และขอออเดอร์ละ 50 บาทเป็นค่าคอมมิชชั่น หากแบรนด์ไหนจะไปต่อต้องจ่ายเงินเพิ่ม และทุกอย่างที่พูดมาเกิดขึ้นจากการดีลหน้างานกลางไลฟ์สด
นี่คือความเรียลที่เกิดขึ้นบนไลฟ์สดของเจนนี่ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้ชม แต่ความน่าสนใจนี้สามารถต่อยอดสร้างเม็ดเงินมหาศาลให้แก่เจนนี่ Live 6 วันสามารถเจนนี่สามารถกวาดเงินแล้วกว่า 554 ล้านบาท
จนหลายๆคนมองว่าเม็ดเงินขนาดนี้ คือการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ซะยิ่งกว่ารัฐบาลออกนโยบายมากระตุ้นเองเสียอีก เจนนี่ทำได้อย่างไร บทความนี้ SPOTLIGHT ชวนทุกคนมาส่อง ปรากฏการณ์เทศกาลเจนนี่ จากไวรัลสู่มาตรฐานใหม่ ของวงการ Live Commerce โดยได้สรุปมาจาก IdeasLabs บริษัทที่ให้บริการ Martech Solution และ MI Group บริษัท Integrated Solutions Provider ชั้นนำของไทย
IdeasLabs ได้ออกมาวิเคราะห์ว่า ปรากฏการณ์เจนนี่ไลฟ์ที่เป็นกระแสอยู่ในช่วงนี้ตอกย้ำแนวโน้มที่เกิดขึ้นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ในวงการ Influencer Marketing นั่นคือ Live Commerce ไม่ใช่แค่การขายของผ่านจอมือถือ แต่เป็นสนามแข่งขันเชิงกลยุทธ์ที่วัดกันด้วย Conversion (อัตราการเปลี่ยนผู้ชมเป็นผู้ซื้อ), ROI (Return on Investment หรือ ผลตอบแทนจากการลงทุน) และ Data-Driven Value (มูลค่าที่วัดผลได้จริงจากข้อมูล) ส่งผลให้โมเดลการประเมินมูลค่า KOL ในยุคใหม่กำลังเปลี่ยนผ่าน จากการวัดด้วยยอดผู้ติดตาม มาสู่การวัดด้วย ยอดขายต่อบาทที่แบรนด์ลงทุน ซึ่งชี้วัดศักยภาพเชิงธุรกิจได้ชัดเจนกว่าเดิม
“โมเดลค่าตัวแบบ Fixed Rate บวก Commission กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของวงการ KOL เพราะสร้างแรงจูงใจที่เป็นธรรมทั้งสองฝ่าย และเปิดโอกาสให้แบรนด์ได้เห็นผลลัพธ์แบบวัดได้จริง สะท้อนให้เห็นภาพ Influencer และKOL จากความดัง สู่ความคุ้มค่า”
ทั้งนี้ Influencer และ KOL ต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้แนะนำสินค้า เป็น นักขายมืออาชีพ ที่เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค เลือก SKU ได้เหมาะสม และมีทักษะการเล่าเรื่องที่สามารถเปลี่ยนยอดวิวให้เป็นยอดขายได้ ไม่ใช่แค่พูดเก่ง แต่ต้อง Entertain บวก Convert ให้ได้
จากปรากฏการณ์นี้สามารถถอดบทเรียนเป็น Influencer และ KOL เร่งปรับตัว หากอยากขายได้จริงในยุคที่แบรนด์จ่ายเฉพาะคนที่ทำยอดได้ ได้แก่
KOL ที่เคยตั้งเรทตาม Tier (จำนวนผู้ติดตาม) ต้องเริ่มคิดในเชิงต้นทุน/ผลตอบแทนให้มากขึ้น หากแบรนด์จ่ายแล้วขายไม่ได้ ย่อมไม่มีรอบต่อไป การพิสูจน์ตนเองผ่านยอดขายจริง คือบัตรผ่านสู่ความร่วมมือระยะยาว
การสร้างรายได้แบบ 2 ทาง (Fixed + Commission หรือค่าตัว + ค่าคอมมิชชั่นจากยอดขาย) จะกลายเป็นโมเดลหลักของ KOL ที่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะการไลฟ์ที่มีการวางสินค้าหลาย SKU เหมือนเดินห้าง เพื่อเพิ่มโอกาสทำยอดรวม ค่าคอมมิชชั่นจึงต้องคำนวณให้เหมาะสม เช่น สินค้าราคาสูง อาจได้ % น้อย แต่ทำกำไรต่อชิ้นมาก
เมื่อ KOL เข้าสู่ตลาดไลฟ์มากขึ้น แพลตฟอร์มอาจลดการสนับสนุน เช่น โค้ดลดราคา ส่งฟรี ฯลฯ ทำให้แบรนด์ต้องแบกภาระมากขึ้น และส่งผลให้ KOL อาจถูกลดค่าคอมมิชชั่นในอนาคต การปรับตัวให้วางกลยุทธ์ขายได้เอง โดยไม่พึ่งแพลตฟอร์มมากเกินไป จะทำให้ KOL อยู่รอดได้ในระยะยาว
ในมุมของแบรนด์ต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ จากการจ้างเพื่อกระแส สู่การคำนวณเพื่อผลตอบแทนเริ่มคำนวณต้นทุนอย่างมีระบบมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้แนวคิด “Break-Even Point” (จุดคุ้มทุน หรือจุดที่ยอดขายครอบคลุมต้นทุนพอดี) เพื่อวางแผน ROI จากการใช้ KOL อย่างมีประสิทธิภาพ ในอนาคต จะมีโมเดลการคำนวณที่ซับซ้อนและแข็งแรงขึ้น เพื่อให้แบรนด์เต็มใจที่จะจ่าย โดยมีการคำนึงถึงต้นทุนต่าง ๆ ดังนี้
การคำนวณนี้ช่วยให้แบรนด์สามารถกำหนด “ระดับราคา” ที่เหมาะสม และมองเห็น จุดคุ้มทุน (Break-Even Point) ได้อย่างชัดเจน เพราะเป็นการรวมทุกองค์ประกอบต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงทั้งด้านการตลาดและแพลตฟอร์ม
ตัวอย่างการคำนวณ: หากแบรนด์ขายเครื่องดื่ม 1 แพ็ค ราคา 100 บาท และมีต้นทุนรวมต่อหน่วย 95.35 บาท (รวมค่าของ COGS + GP แพลตฟอร์ม + Comm. KOL + กำไรของแบรนด์) และ ส่วนต่างที่นำไปหักลบต้นทุนคงที่ (ค่าจ้าง KOL) รวมถึงค่าบริหารจัดการอีก 10-20% จึงจะเหลือกำไรต่อหน่วย ซึ่งหมายความว่าแบรนด์ต้องขายได้อย่างน้อย 915 ออเดอร์ จึงจะมั่นใจได้ว่าการลงทุนใน Influencer/KOL นั้นสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่า และเปิดการมองเห็นสำหรับการต่อยอดของแบรนด์ได้จริง ทั้งนี้การตั้งราคาของสินค้าก็เป็นตัวแปรที่ส่งผลโดยตรงของจุดคุ้มทุนตามไปด้วย
ฉะนั้นแบรนด์ต้องเริ่มคาดหวัง Reach Guarantee (การันตีการมองเห็นต่อยอดขาย) เพื่อให้ทุกบาทที่จ่ายสามารถควบคุมความเสี่ยงได้ ซึ่งไอเดียแล็บมองว่า Live Commerce ไม่ใช่เพียงเครื่องมือขายของแบบไวรัล แต่คือเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่ต้องตอบโจทย์ทั้งระยะสั้นและระยะยาวโดยความคาดหวังของแบรนด์ในระยะสั้น (Tactical Win) คือการสร้าง Awareness อย่างรวดเร็วภายในเวลาอันสั้นการระบายสต็อกและเพิ่ม Cash Flow ผ่านยอดขายทันที และมองเห็นกำไรสุทธิ (Net Profit) หลังหักต้นทุนอย่างชัดเจน ในขณะที่ความคาดหวังระยะยาว (Strategic Foundation) เป็นการใช้ Live Commerce เป็นแพลตฟอร์มสร้าง Brand Story สามารถเปลี่ยนลูกค้าขาจรให้เป็นลูกค้าประจำ (Customer Retention) และใช้ข้อมูลจากการขายจริงเพื่อวางแผนตลาดอย่างแม่นยำ Live ต้องกลายเป็นซีรีส์ความบันเทิงเชิงกลยุทธ์ ไม่ใช่ไลฟ์ครั้งเดียวจบ อีกต่อไป ต้องมีความเรียล ช่วยให้คนดูติดตามอย่างเสมอ
ทั้งนี้สมการใหม่ของการตลาดยุคไลฟ์สด ใครที่สามารถถอดรหัสสมการ Reach (การเข้าถึง) – Conversion (การขาย) – Profit (ผลกำไร) โดยมี Entertaincommerce (การสร้างความบันเทิงเพื่อกระตุ้นการซื้อ) เป็นกลไกขับเคลื่อน จะเป็นผู้นำในเกม Performance Marketing ยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง
เพราะLive Commerce ไม่ใช่แค่การขายของ แต่คือสนามกลยุทธ์ที่วัดกันด้วยข้อมูล ความเข้าใจลูกค้า และความสามารถในการเล่าเรื่อง ใครเข้าใจเกมนี้ก่อน จะเป็นผู้นำตลาดได้ก่อน และอยู่รอดได้ในทุกสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
Implication: นักการตลาดต้องเริ่มวางแผนให้ Live Commerce เป็นช่องทาง Performance Media — วัดผลได้ทั้งยอดขายต่อเวลา และ conversion ต่อ engagement
Implication: แบรนด์ต้องสื่อสารให้ “ตรงใจและจริงใจ” กับผู้บริโภค — เพราะความสัมพันธ์ที่แท้คือรากฐานของการเติบโตอย่างยั่งยืน
Implication: นักการตลาดควรวาง Trust Framework คู่กับกลยุทธ์สื่อ เพื่อสร้างแบรนด์ที่คนพร้อมเชื่อและแชร์
Implication: นักการตลาดควรออกแบบ Influence Ecosystem แทนการพึ่งพาอินฟลูฯ รายเดียว เพื่อสร้างแรงส่งที่ยั่งยืนและมีความหมาย
Implication: นักการตลาดควรออกแบบแผนให้ “กระแสและความสัมพันธ์” เติบโตพร้อมกัน ไม่ขัดกัน
Implication: แบรนด์ควรใช้ AI เพื่อ “ขยายความเข้าใจมนุษย์” ไม่ใช่แทนมนุษย์
Implication: นักการตลาดควรเปลี่ยนจาก Brand Messaging เป็น Human Dialogue - สื่อสารด้วยความเท่ากัน จริงใจ และไม่ยัดเยียด
Implication: ปรับ KPI จาก views เป็น actions - วัดผลจากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริง
Implication: นักการตลาดควรวางแผน momentum อย่างมียุทธศาสตร์ — รู้ว่าเมื่อไหร่ควรเร่งเพื่อสร้างพลัง และเมื่อไหร่ควรชะลอเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือ เพราะ แบรนด์ที่ดีไม่ใช่แค่ดังต่อเนื่อง แต่เล่นกับจังหวะอย่างมีศิลปะ
Implication: นักการตลาดต้องมีทีมที่เข้าใจทั้ง data analytics และ cultural pulse — ให้ข้อมูลตอบโจทย์อารมณ์ผู้คน ไม่ใช่แค่ตัวเลข
กรณี “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” สะท้อนมิติสำคัญของวงการการตลาดไทย จากยุคที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี สู่การกลับมาให้คุณค่ากับ “มนุษย์” อย่างแท้จริงเพราะการตลาดแบบ Emotion-driven ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มันคือหัวใจที่อยู่ในทุกยุคของการสื่อสาร
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จึงไม่ใช่การเปลี่ยนยุค แต่คือการย้ำเตือนว่าเราไม่เคยหลุดจาก Human-Driven Marketing เทคโนโลยีอาจพัฒนาไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นยุค Analog, Digital หรือ AIแต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน คือ “การใช้ใจเข้าใจผู้คน ใช้ความจริงใจสร้างความเชื่อใจ และใช้หัวใจสร้างยอดขายอย่างมีความหมาย”
อ้างอิง : IdeasLabs, MI Group