ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา หนึ่งในหุ้นที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคงหนีไม่พ้นหุ้นของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) สายการบินแห่งชาติของเรา ที่เพิ่งกลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกครั้งเมื่อวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา หลังจากใช้เวลากว่า 4 ปีในแผนฟื้นฟูกิจการ ตั้งแต่ 14 กันยายน 2563 จนถึง 16 มิถุนายน 2568
ความร้อนแรงยิ่งพุ่งขึ้นไปอีกเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ราคาหุ้นของการบินไทยทะยานจนทำให้มูลค่าบริษัทแตะถึง 4.5 แสนล้านบาท ใกล้เคียงกับ Singapore Airlines หนึ่งในสายการบินชั้นนำของโลกที่มีมูลค่า 5 แสนล้านบาท ก่อนที่ในวันนี้ (14 สิงหาคม) หุ้นการบินไทยจะปิดตลาดเช้าอยู่ที่ 17.90 บาทต่อหุ้น ส่งให้มูลค่าตลาดพุ่งถึง 4.18 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 439.15% จากราคาปิด 3.32 บาทต่อหุ้น ก่อนหยุดซื้อขายในเดือนพฤษภาคม 2564
ด้วยกระแสตอบรับอันร้อนแรง การกลับมาของการบินไทยครั้งนี้จึงเป็นตัวอย่างชัดเจนขององค์กรที่สามารถพลิกฟื้นจากภาวะหนี้สินล้นพ้นตัวและปัญหาสภาพคล่อง จนเกือบต้องล้มละลาย แต่ก็สามารถผ่านกระบวนการฟื้นฟูกิจการและกลับมาดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง
ในบทความนี้ SPOTLIGHT จึงอยากพาผู้อ่านออกเดินทางไปสำรวจเส้นทาง “จากวิกฤตสู่การฟื้นคืนชีพ” ของ 4 บริษัทใหญ่ ที่ครั้งหนึ่งเคยตกอยู่ในจุดต่ำสุดของธุรกิจ จนต้องเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการ แต่สามารถพลิกเกมกลับมาโลดแล่นในสมรภูมิธุรกิจได้อีกครั้งอย่างน่าจับตา ได้แก่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) โดยเราจะพาไปเจาะลึกกันว่าบริษัทนี้ก้าวเข้าสู่แผนฟื้นฟูเมื่อไหร่? ต้องฝ่าคลื่นปัญหาและอุปสรรคอะไร? และในวันนี้ แต่ละบริษัทกลับมายืนหยัดได้อย่างไรบ้าง?
ก่อนที่เราจะเจาะลึกรายละเอียดของแต่ละบริษัท SPOTLIGHT อยากชวนผู้อ่านมาทำความเข้าใจให้ชัดเจนเสียก่อนว่า “การฟื้นฟูกิจการ” จริง ๆ แล้วคืออะไร? แตกต่างจากการล้มละลายอย่างไร? กระบวนการนี้ดำเนินไปตามขั้นตอนแบบไหน? และที่สำคัญ มอบประโยชน์อะไรให้แก่เจ้าหนี้และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียบ้าง?
จากคำอธิบายของนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และอดีตอธิบดีกรมบังคับคดี แม้การฟื้นฟูกิจการจะถูกกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย แต่ไม่ได้หมายความว่าการฟื้นฟูกิจการคือกระบวนการของบริษัทที่กำลังจะล้มละลาย เพราะทั้งสองมีเป้าหมายและขั้นตอนต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยหากการล้มละลายคือการปิดกิจการ รวบรวมและขายทรัพย์สินเพื่อนำเงินไปชำระเจ้าหนี้ การฟื้นฟูคือการรักษาความต่อเนื่องของธุรกิจ (going concern) เพื่อให้กิจการที่ยังมีศักยภาพสามารถปรับโครงสร้างและกลับมาดำเนินงานได้อีกครั้ง
นางสาวรื่นวดี อธิบายว่า กระบวนการฟื้นฟูกิจการจะเริ่มต้นได้ เมื่อเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลาง โดยต้องเป็นกรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด และมียอดหนี้ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด เช่น ธุรกิจขนาดใหญ่ไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท ส่วนธุรกิจ SMEs อยู่ที่ราว 2-3 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับประเภทนิติบุคคล โดยหนี้เหล่านี้อาจครบกำหนดแล้วหรือใกล้ครบกำหนดก็ได้ แต่ต้องมีเหตุอันควรและแนวทางฟื้นฟูที่มีความเป็นไปได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงขั้นหนี้สินล้นพ้นตัว
เมื่อศาลมีคำสั่งรับคำร้องแล้ว สถานะ “พักการชำระหนี้” หรือ automatic stay จะมีผลทันที เสมือนการกางเกราะคุ้มกันกิจการจากแรงกดดันภายนอก ทั้งการฟ้องร้อง บังคับคดี ยึดทรัพย์ หรือแม้แต่การตัดสาธารณูปโภค มาตรการนี้เปิดโอกาสให้ธุรกิจได้หายใจและปรับตัว ฟื้นสภาพคล่อง จัดระเบียบการเงิน และวางแผนปรับโครงสร้างอย่างเต็มที่
หัวใจของกระบวนการคือ “แผนฟื้นฟูกิจการ” ซึ่งต้องร่างอย่างรอบคอบ ครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่การสำรวจและจัดกลุ่มเจ้าหนี้ การเจรจาลดหนี้หรือขยายกำหนดชำระ การปรับโครงสร้างทุน จัดหาแหล่งเงินทุนใหม่ การบริหารและใช้ประโยชน์จากทรัพย์สิน ไปจนถึงการแก้ไขปัญหาสภาพคล่องในระหว่างดำเนินงาน แผนนี้จะอยู่ภายใต้การดำเนินงานของผู้ทำแผนและผู้บริหารแผนที่ศาลแต่งตั้ง ซึ่งในบางกรณีอาจดึงผู้บริหารมืออาชีพจากภายนอกมาช่วยเสริมศักยภาพ
เมื่อศาลเห็นว่ากิจการดำเนินไปตามแผนและบรรลุเป้าหมายแล้ว ก็จะมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูและคืนอำนาจการบริหารให้ผู้บริหารเดิม การฟื้นฟูจึงเป็นทางเลือกที่ช่วยให้ธุรกิจรอดพ้นจากการปิดกิจการ เจ้าหนี้มีโอกาสได้รับชำระหนี้มากกว่ากรณีล้มละลาย และในระดับเศรษฐกิจมหภาค ยังเป็นกลไกสำคัญในการรักษาการจ้างงาน ความต่อเนื่องของห่วงโซ่อุปทาน และความเชื่อมั่นของระบบเศรษฐกิจโดยรวม
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ถือเป็นตัวอย่างแรกขององค์กรที่สามารถพลิกฟื้นจากภาวะวิกฤตได้อย่างโดดเด่น เส้นทางฟื้นตัวเริ่มต้นเมื่อบริษัทเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 กันยายน 2563 และสิ้นสุดลงในวันที่ 16 มิถุนายน 2568 เมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่ง “ยกเลิกแผนฟื้นฟูกิจการ” หลังการบินไทยดำเนินการตามเงื่อนไขได้ครบทุกข้อ ถือเป็นการออกจากแผนฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์
หากย้อนเวลากลับไปปลายปี 2562 ภาพของการบินไทยในวันนั้นเต็มไปด้วยแรงกดดันรอบด้าน บริษัทเผชิญภาวะขาดทุนต่อเนื่องยาวนานถึง 8 ปี แม้จะพยายามปรับโครงสร้างภายในเกือบ 5 ปี แต่ก็ยังไม่เห็นแสงสว่าง จนกระทั่งการแพร่ระบาดของโควิด-19 เข้ามาเป็น “ตัวเร่ง” ที่บีบให้ต้องลงมือผ่าตัดองค์กรครั้งใหญ่ ผ่านกระบวนการฟื้นฟูกิจการภายใต้การดูแลของศาลล้มละลายกลางอย่างจริงจัง
ข้อมูลทางการเงินสิ้นปี 2562 สะท้อนสถานการณ์ที่เปราะบางอย่างชัดเจน บริษัทมีรายได้รวม 188,000 ล้านบาท แต่ขาดทุนสุทธิ 12,042 ล้านบาท และมีขาดทุนสะสม 19,383 ล้านบาท หนี้สินรวมอยู่ที่ 244,000 ล้านบาท โดยมีภาระหนี้ที่ต้องชำระภายในหนึ่งปีสูงถึง 21,730 ล้านบาท เจ้าหนี้หลักประกอบด้วยผู้ถือหุ้นกู้มูลค่า 74,108 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงสหกรณ์ 84 แห่งและสถาบันการเงินบางส่วน รวมทั้งหนี้จากผู้ให้เช่าเครื่องบิน 46,456 ล้านบาท เงินกู้ระยะยาวจากสถาบันการเงิน 8,873 ล้านบาท เงินกู้ระยะสั้น 3,500 ล้านบาท หนี้จากต่างประเทศผ่านกระทรวงการคลัง 11,977 ล้านบาท หนี้ภายในประเทศ 2,000 ล้านบาท และหนี้ต่างประเทศผ่านเอ็กซ์ซิมแบงก์ 437 ล้านบาท
ยิ่งไปกว่านั้น กระแสเงินสดคงเหลือเพียง 21,663 ล้านบาท ไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ เมื่อโควิด-19 ระบาด รายได้หยุดชะงัก ปัญหาสภาพคล่องจึงรุนแรงขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้บริษัทต้องหันไปพึ่งการค้ำประกันเงินกู้จากผู้ถือหุ้นใหญ่ วงเงิน 50,000 ล้านบาท แต่เงินก้อนนี้ก็เพียงพอให้ดำเนินธุรกิจต่อไปได้แค่ราว 3-4 เดือน เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายคงที่ราว 13,000 ล้านบาทต่อเดือน ขณะที่หนี้สินยังอยู่ในระดับสูง และส่วนทุนติดลบถึง 127,235 ล้านบาท
ภายใต้ข้อจำกัดและแรงกดดันดังกล่าว การเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการในปี 2563 จึงเป็นทางเลือกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นคืนความแข็งแกร่งให้กับสายการบินแห่งชาติอีกครั้ง
ตลอดระยะเวลาเกือบ 5 ปีภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ การบินไทยได้ดำเนินการแก้ปัญหาหนี้สินอย่างเป็นขั้นตอนและรอบด้าน ผ่านการปรับโครงสร้างทางการเงินหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการยืดระยะเวลาชำระหนี้ การแปลงหนี้บางส่วนให้เป็นทุน หรือการจำหน่ายสินทรัพย์เพื่อเสริมสภาพคล่อง ขณะเดียวกัน องค์กรยังได้ปรับโครงสร้างภายในให้มีขนาดเหมาะสม กระชับ และตอบสนองความต้องการของผู้โดยสารได้รวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งยังปฏิรูประบบจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะกระบวนการจัดหาเครื่องบินที่ยกเลิกการใช้ตัวกลางหรือนายหน้าอย่างเด็ดขาด
นอกจากนี้ การบินไทยยังได้ปรับแผนธุรกิจและออกแบบเส้นทางบินใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดอย่างแท้จริง ปัจจัยสำคัญที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ คือ การปรับสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ ทำให้การดำเนินงานมีความคล่องตัวมากขึ้น และเปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินเข้ามามีบทบาทในตำแหน่งผู้บริหารและกรรมการได้อย่างเต็มศักยภาพ
ผลจากมาตรการเหล่านี้ ทำให้การบินไทยสามารถบรรลุเงื่อนไขตามแผนฟื้นฟูกิจการครบทั้ง 4 ข้อ เช่น การจดทะเบียนเพิ่มทุนจดทะเบียน เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างทุน การดำเนินการตามแผนฟื้นฟูโดยไม่เกิดเหตุผิดนัด และการสร้างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) หลังหักค่าเช่าเครื่องบิน ตามงบเฉพาะกิจการย้อนหลัง 12 เดือน (เมษายน 2567 - มีนาคม 2568) จำนวนประมาณ 40,308 ล้านบาท และออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้สำเร็จ
ปัจจุบันในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 การบินไทยมีรายได้ 102,009.74 ล้านบาท กำไรสุทธิ 21,955.98 ล้านบาท สินทรัพย์รวม 297,691.25 ล้านบาท หนี้สินรวม 216,708.74 ล้านบาท มีอัตราการใช้เครื่องบินเฉลี่ย 13.6 ชั่วโมง/ลำ/วัน มีปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) เท่ากับ 35,281 ล้านที่นั่ง-กิโลเมตร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 15.2% มีปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (RPK) เท่ากับ 28,297 ล้านคน-กิโลเมตร เพิ่มขึ้น 18.3% และมีจำนวนผู้โดยสารที่ทำการขนส่งรวม 8.30 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.62 ล้านคน หรือคิดเป็น 8.1%
นอกจากกรณีของการบินไทยแล้ว อีกหนึ่งบริษัทด้านการขนส่งที่เคยผ่านประสบการณ์เข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการมาก่อนคือ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งต้องเผชิญวิกฤติทางการเงินอย่างหนักจนจำเป็นต้องเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการในปี 2545 และใช้เวลากว่าห้าปี จนกระทั่งปลายปี 2549 จึงสามารถออกจากแผนได้สำเร็จ
ย้อนกลับไปเกือบ 30 ปีก่อน ปัญหาทางการเงินของบีทีเอสเริ่มต้นจากวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 เมื่อค่าเงินบาทอ่อนค่าลงกว่า 130% ส่งผลกระทบรุนแรงต่อบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเครืออย่างธนายงและ BTSC ที่กู้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐในปริมาณมาก โครงการสำคัญซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการธนาซิตี้ บ้านจัดสรรพร้อมสนามกอล์ฟย่านบางนา หรือโครงการอื่น ๆ ต่างประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่อง สภาพคล่องของบริษัททรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด จนกลายเป็นหนี้เสีย (NPLs) และในที่สุดต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการเพื่อประคองธุรกิจให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้
นอกจากนี้ แม้จะสามารถประคองธุรกิจให้รอดจากความผันผวนของค่าเงินได้ แต่ความท้าทายใหม่ก็เกิดขึ้นในปี 2542 เมื่อรถไฟฟ้าบีทีเอสเปิดให้บริการทั้งเส้นสุขุมวิท (หมอชิต–อ่อนนุช) และเส้นสีลม (สนามกีฬาแห่งชาติ–สะพานตากสิน) ทว่าจำนวนผู้โดยสารอยู่เพียงราว 150,000 คนต่อวัน ค่าโดยสารถูกมองว่าสูง และระบบยังไม่เป็นที่คุ้นเคย ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยเพียง 4–5 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการหมุนเวียนกระแสเงินสด
เพื่อแก้ปัญหานี้ นายคีรี กาญจนพาสน์ ผู้ก่อตั้ง BTS ต้องตัดสินใจขายหุ้น BTSC ให้เจ้าหนี้ จนเหลือถือไม่ถึง 1% เพื่อหาเงินทุนทำกิจการก่อนที่จุดเปลี่ยนจะเริ่มขึ้นในปี 2551 เมื่อรายได้ BTSC กลับมาเป็นไปตามเป้าหมาย และในปีถัดมาได้เปิดส่วนต่อขยายสายสีลมจากสะพานตากสินถึงวงเวียนใหญ่ ทำให้จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง พร้อมกันนั้นบริษัทเริ่มขยายสู่ธุรกิจสื่อโฆษณาด้วยการเข้าซื้อกิจการวีจีไอ
ต่อมานายคีรีใช้กลยุทธ์ “Backdoor Listing” ควบรวม BTSC เข้ากับธนายง ด้วยเงินกู้และการออกหุ้นเพิ่มทุน จนถือหุ้น BTSC ได้ถึง 94.6% พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และปรับรายได้หลักจากอสังหาริมทรัพย์มาสู่ระบบขนส่งมวลชน ทำให้ฐานะการเงินเริ่มฟื้นตัว
หลังจากนั้น บีทีเอสเดินหน้าขยายโครงการต่อเนื่อง ทั้งส่วนต่อขยายสายสุขุมวิทจากอ่อนนุชถึงแบริ่งในปี 2554 และการลงนามสัญญาให้บริการและซ่อมบำรุงส่วนต่อขยายสายสีเขียว พร้อมขยายอายุสัมปทานถึงปี 2585 ในปี 2556 บริษัทขายสิทธิรายได้ค่าโดยสารในอนาคต 17 ปีให้แก่กองทุน BTSGIF มูลค่ากว่า 61,399 ล้านบาท ทำให้มีเงินทุนจำนวนมากสำหรับการลงทุนใหม่
ปัจจุบัน บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ขยายธุรกิจออกเป็นสามกลุ่มสำคัญ ได้แก่ Move ธุรกิจบริการเดินทางทั้งระบบรางและโครงการคมนาคมอื่น, Mix ธุรกิจสื่อโฆษณา บริการชำระเงิน และโลจิสติกส์ ผ่านวีจีไอ และ Match การลงทุนร่วมกับพันธมิตรเพื่อสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ เส้นทางที่เริ่มต้นจากความเสี่ยงและอุปสรรคได้หล่อหลอมให้บีทีเอสกลายเป็นหนึ่งในระบบขนส่งมวลชนที่มีอิทธิพลและมั่นคงที่สุดของไทยในปัจจุบัน
สำหรับผลประกอบการล่าสุด จากรายงานประจำปี 67/68 (สิ้นสุด ณ 31 มีนาคม 2568) บีทีเอสสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ 2,117 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 140% จากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 5,241 ล้านบาท รายได้รวมของกลุ่มบริษัทอยู่ที่ประมาณ 28,998 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการรวมรายได้ของบริษัทในเครือ ได้แก่ บริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ RABBIT และ บริษัท ร็อคเทค โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ ROCTEC
ถัดจาก BTS อีกหนึ่งบริษัทในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตต้มยำกุ้งและสามารถฟื้นกิจการกลับมาได้ คือ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งอยู่ในแผนฟื้นฟูกิจการในระยะสั้น ระหว่างวันที่ 4 กันยายน 2544 ถึงวันที่ 16 ธันวาคม 2545 ในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทได้รับผลกระทบอย่างหนักจากทั้งวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 และการตัดงบการลงทุนของภาครัฐซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งรายได้สำคัญของ ITD ทำให้สภาพคล่องทางการเงินอยู่ในระดับต่ำและไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติ
เพื่อแก้ปัญหานี้ บริษัทได้ยื่นคำขอเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2544 ต่อมาในวันที่ 25 กันยายน 2544 ศาลมีคำสั่งรับบริษัทฯ เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู พร้อมแต่งตั้งบริษัท ไอทีดี แพลนเนอร์ จำกัด เป็นผู้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ โดยแผนดังกล่าวถูกยื่นต่อศาลเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2544 ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งอนุมัติเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2545 เนื้อหาในแผนฟื้นฟูครอบคลุมหลายมาตรการสำคัญ อาทิ
ในส่วนของการบริหารหนี้ มีมาตรการ โครงการรับซื้อคืนหนี้แบบมีส่วนลด สำหรับเจ้าหนี้การเงินและผู้ถือหุ้นกู้ไม่มีประกัน ครอบคลุมทั้งหนี้สกุลบาท ดอลลาร์สหรัฐ และเยน คิดเป็นราคาซื้อคืนประมาณร้อยละ 34 ของยอดหนี้ทั้งหมด อีกทั้งยังมี โครงการแปลงหนี้เป็นทุนโดยสมัครใจ โดยออกหุ้นสามัญใหม่ 73.9 ล้านหุ้นให้แก่เจ้าหนี้ที่แปลงหนี้เงินต้นเป็นทุน และได้รับการยกเลิกดอกเบี้ยค้างจ่ายรวม 1,314 ล้านบาท
ผลจากมาตรการเหล่านี้ทำให้บริษัทบันทึกกำไรสุทธิจากการปรับโครงสร้างหนี้ราว 6,000 ล้านบาท แสดงเป็นรายการพิเศษในงบกำไรขาดทุน นอกจากนี้ยังมีการแปลงหนี้ใหม่ให้แก่นิติบุคคลเฉพาะกิจ รวมมูลค่าหนี้ 3,604.4 ล้านบาท พร้อมโอนสินทรัพย์รองเพื่อชำระหนี้ และกำหนดเงื่อนไขการขายสินทรัพย์และการผ่อนชำระตามแผน ขณะเดียวกัน ในไตรมาสที่สามของปีเดียวกัน บริษัทได้ยกเลิกทุนจดทะเบียนที่ยังไม่ได้ออกจำหน่ายเพิ่มอีก 49 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท
ในที่สุด เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2545 บริษัท ไอทีดี แพลนเนอร์ จำกัด ในฐานะผู้ทำแผน ได้ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางว่าบริษัทฯ ได้ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการเสร็จสิ้น และได้รับความเห็นชอบจากเจ้าหนี้ส่วนใหญ่ให้ยกเลิกแผน ศาลจึงมีคำสั่งให้ยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ อย่างเป็นทางการ
สำหรับผลประกอบการล่าสุด ไตรมาส 1 ปี 2568 ITD มีรายได้รวม 18,979.23 ล้านบาท กำไรสุทธิ 6,767.02 ล้านบาท ขณะที่มีสินทรัพย์ทั้งหมด 123,147.32 ล้านบาท และหนี้สินรวม 111,719.99 ล้านบาท ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าบริษัทได้กลับมามีฐานะทางการเงินที่มั่นคงขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการฟื้นฟู
นอกจากกลุ่มธุรกิจก่อสร้างแล้ว ธุรกิจด้านวัสดุก่อสร้างอย่าง บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ของประเทศ ก็เป็นอีกหนึ่งองค์กรที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤตต้มยำกุ้ง จนต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการเช่นกัน โดยบริษัทฯ เข้าสู่แผนฟื้นฟูในปี 2543 และออกจากแผนเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2552
ปัจจัยหลักมาจากการบริหารค่าใช้จ่ายและการลงทุนเกินศักยภาพในช่วงก่อนเกิดวิกฤติ ประกอบกับแรงกระแทกจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยปี 2540 ทำให้บริษัทไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ส่งผลให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม หลังจากใช้เวลาหลายปีในการปรับโครงสร้างและฟื้นฟูกิจการ TPIPL ก็สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ และรักษาสถานะในตลาดได้อีกครั้ง
สำหรับผลประกอบการล่าสุด ไตรมาส 1 ปี 2568 บริษัทมีรายได้รวม 9,969.42 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 723.24 ล้านบาท ขณะที่มีสินทรัพย์รวม 157,156.97 ล้านบาท และหนี้สินรวม 91,321.68 ล้านบาท สะท้อนถึงความสามารถในการฟื้นตัวและดำเนินงานอย่างต่อเนื่องหลังพ้นจากแผนฟื้นฟู