ในวันทำงานที่ต้องนั่งอยู่ในห้องประชุมตั้งแต่เช้าจนเย็น หรือต้องตามเปิดเมล์ ตอบข้อความแบบไม่รู้จักจบสิ้น กำลังทำลายประสิทธิภาพในการทำงานของคนทำงาน และอาจส่งผลเสียต่อองค์กรและธุรกิจตามมาได้
ข้อมูลจากรายงาน Work Trend Index ประจำปี 2025 จากไมโครซอฟท์ ที่สำรวจผู้บริหารและพนักงานรวม 31,000 คน จาก 31 ประเทศทั่วโลก ควบคู่ไปกับข้อมูลความเคลื่อนไหวในตลาดแรงงานโลกจาก LinkedIn รวมถึงข้อมูลจากการใช้งานจริงของกลุ่มผู้ใช้งาน Microsoft 365 ระดับองค์กร โดยในปีนี้ มีข้อมูลใหม่มาเพิ่มเติมจากกลุ่มสตาร์ทอัพสาย AI นักเศรษฐศาสตร์ และนักวิจัยอีกจำนวนหนึ่ง พบความท้าทายที่คนทำงานในปัจจุบันต้องเผชิญ
ผลลัพธ์ของการสำรวจที่ได้คือ สภาพความจริงของ “การทำงานที่ไร้จุดจบ” ที่พนักงานจำนวนมากต่างกำลังเผชิญ
แม้ปฏิทินจะดูเหมือนว่างช่วงบ่าย แต่เบื้องหลังคืองานเขียน งานวิเคราะห์ งานพรีเซนต์ที่ถูกบีบให้ทำตอนสมองเหนื่อยล้า แถมยังโดนขัดจังหวะตลอดเวลา ข้อมูลของไมโครซอฟท์ย้ำว่า เกือบครึ่งของพนักงาน (48%) และมากกว่าครึ่งของผู้บริหาร (52%)รู้สึกว่างานของตัวเอง “สับสนและกระจัดกระจาย”
ทั้งหมดนี้ คือสัญญาณว่า คนทำงานกำลังติดอยู่ในระบบที่ "ตอบสนอง" มากกว่า "สร้างสรรค์" และเมื่อทุกชั่วโมงในวันทำงานเต็มไปด้วยเรื่องเร่งด่วนที่ไม่ใช่เป้าหมายหลักพลังงานในการ “ทำสิ่งสำคัญ” ก็ถูกดูดหายไปอย่างเงียบ ๆ
ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย เผยข้อมูลน่าสนใจว่า 88% ของพนักงานไทยไม่มีทั้งแรงและเวลา เพียงพอจะรับมือกับงานในมือ เพราะพนักงานไทยรับการแจ้งเตือนเฉลี่ยถึง 275 ครั้ง/วัน และประชุมหนักสุดในช่วง 09.00–11.00 น. และ 13.00–15.00 น. ซึ่งเป็นเวลาทำงานที่ควรจะมี “สมาธิ” ที่สุด
ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ผู้บริหารส่วนใหญ่ต้องการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่คนทำงานมีแรงและเวลาที่จำกัด ระบบ AI หรือ Agentic AI ที่สามารถทำงานได้แบบอัตโนมัติจึงเป็นทรัพยากรที่มีค่ามหาศาล พร้อมให้องค์กรนำไปปรับใช้ในรูปแบบที่เหมาะสม
การสร้างทีมแบบไฮบริดที่มีพนักงานเป็นผู้บริหาร AI จึงเป็นคำตอบที่องค์กรจำนวนมากเลือก นับตั้งแต่ระยะสั้น ที่องค์กรในไทยราว 68% ได้นำ AI เข้ามาเปลี่ยนระบบงานบางส่วนให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติแล้ว ไปจนถึงระยะยาว ที่เราอาจได้เห็นโครงสร้าง องค์กร และเส้นทางในอาชีพการงานเปลี่ยนแปลงไป เมื่อ 83% ของผู้บริหารมองว่าพนักงานรุ่นใหม่จะมีโอกาสได้ทำงานเชิงกลยุทธ์และการวางแผนเร็วขึ้นหากมี AI เข้ามาแบ่งเบาภาระ
ทีมวิจัยของไมโครซอฟท์ได้แนะแนวทางสำหรับองค์กรที่ต้องการปรับทิศทางเพื่อมุ่งสู่สถานะ Frontier Firm ไว้ดังนี้
ทั้งนี้ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ได้เชิญ 3 องค์กรระดับแถวหน้าของไทย ได้แก่ กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ เอสซีจี เคมิคอลส์ และ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มาแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์ในการนำ AI เข้ามาเป็นหัวใจสำคัญของทีมงาน ระบบงาน และพันธกิจของแต่ละองค์กร
ทาง SCBX ได้สานต่อเป้าหมายขององค์กรในการก้าวสู่ความเป็น AI-first organization ด้วยการสนับสนุนให้พนักงานในทุกแผนก ทุกสายงาน ได้มีโอกาสนำ AI มาประยุกต์ใช้ในรูปแบบที่ตอบโจทย์ของตนเอง ยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน และเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ไปพร้อมกัน
ลลินทิพย์ เยี่ยมพลพัฒน์ Head of Financial Planning and Data Intelligence บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า SCBX ส่งเสริมให้พนักงานใช้ AI เป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสนับสนุนให้ต่อยอดขีดความสามารถของแต่ละฟังก์ชัน โดยพัฒนา AI ภายในองค์กรเอง เพื่อให้พนักงานทุกฝ่ายมีส่วนร่วม แม้ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านไอที เช่น ระบบช่วยวิเคราะห์และปรับปรุงการสื่อสารกับลูกค้าในธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ ที่ช่วยยกระดับบริการและความถูกต้องของข้อมูล
สำหรับ SCGC ผู้นำนวัตกรรมพอลิเมอร์และโซลูชันครบวงจรเพื่อความยั่งยืน ได้ส่งเสริมให้พนักงานนำ AI มาใช้ในการทำงานทุกวัน เป็น AI Everyday เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และความคล่องตัวในกระบวนการทำงานทั่วทั้งองค์กร ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมและเทคโนโลยี สร้างการเติบโตขององค์กรอย่างยั่งยืน
สัญญา จินดาประเสริฐ Enterprise Digital Director บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC ระบุว่า SCGC ใช้เทคโนโลยี Azure OpenAI Service, Power Platform และ AI Hub เพื่อพัฒนา AI ภายในองค์กร โดยเน้นการประมวลผลข้อมูลด้าน Market Intelligence และสร้างโครงการ “AILY” เพื่อส่งเสริมการใช้งาน AI อย่างทั่วถึง ช่วยลดภาระงาน เพิ่มความคล่องตัว และเปิดให้พนักงานใช้ AI กับข้อมูลภายในได้อย่างปลอดภัย ซึ่งเปลี่ยนวิธีทำงานทั้งองค์กรและช่วยให้ตัดสินใจทางธุรกิจได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น.
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้พัฒนาโปรเจกต์ AI ภายใต้ชื่อ “TH2OECD” สานต่อภารกิจของประเทศไทยในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ควบคู่ไปกับการยกระดับระบบบริหารจัดการเอกสารทางกฎหมายต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบข้อมูลที่สามารถสืบค้น อ้างอิง และใช้งานต่อได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำยิ่งขึ้น
ดร.ณรัณ โพธิ์พัฒนชัย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ผลกระทบและประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (OCS)ระบุว่า AI ช่วยให้การทำงานด้านกฎหมายมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสามารถจัดการกับภาษากฎหมายที่ซับซ้อน วิเคราะห์ความสอดคล้องของกฎหมายไทยกับมาตรฐาน OECD และช่วยให้นักกฎหมายค้นหาข้อมูล สรุปประเด็น และพัฒนานโยบายได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น สอดรับกับบริบทของสังคมในปัจจุบัน
หากคุณยังรู้สึกว่างานไม่มีวันจบ จากข้อมูลของไมโครซอฟท์พอจะบอกได้ว่า บางทีปัญหาอาจไม่ใช่คุณ แต่เป็น “ระบบที่คุณทำงานด้วย” และ AI อาจไม่มาแย่งงานคุณแต่มาช่วยคุณ “ได้ชีวิตคืน” ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งคุณภาพและปริมาณ