ศุภจี สุธรรมพันธุ์ CEO ดุสิตธานี เปิดแนวคิดฝ่าวิกฤต บนเวที PRACHACHAT EXCLUSIVE FORUM 2025 ชี้ปัญหาไม่ใช่ศัตรู แต่คือข้อมูลและเวทีพัฒนาปัญญา แนะผู้นำต้องมองปัญหาอย่างมีระบบ แก้ด้วยกลยุทธ์ และดูแลใจทีมเพื่อขับเคลื่อนองค์กรในยุคแห่งความไม่แน่นอน
เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2568 นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าวปาฐกถาในงานสัมมนา PRACHACHAT EXCLUSIVE FORUM 2025 คน…พลิกวิกฤต จัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ภายใต้หัวข้อ "ปัญหาที่นำไปสู่โอกาส" โดยเน้นย้ำว่า การนำพาองค์กรผ่านช่วงเวลาแห่งความท้าทาย ต้องอาศัยการมองปัญหาอย่างมีระบบ การแก้ไขอย่างมีกลยุทธ์ และการเป็นผู้นำที่สามารถ "ดูแลใจ" ของคนในองค์กรได้อย่างแท้จริง
คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ ชี้ให้เห็นว่าการเผชิญกับปัญหาไม่ใช่สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง แต่เป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนา โดยเน้นว่า "ปัญหาไม่ใช่ศัตรู แต่คือข้อมูล" ที่สะท้อนว่ายังมีบางสิ่งที่เรายังไม่รู้ หรือยังไม่เข้าใจ นำไปสู่โอกาสนในการสร้างความเปลี่ยนแปลง พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น พร้อมย้ำถึงคำสอนของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ว่า "ปัญหาคือเวทีพัฒนาปัญญา คนเก่งคือคนที่เปลี่ยนปัญหาให้เป็นโอกาส"
คุณศุภจีแนะนำว่าผู้นำในทุกระดับควรเริ่มจากการมองปัญหาเชิงระบบ โดยการจำแนกปัญหาออกเป็น 3 ประเภทที่ชัดเจน ดังนี้
"สิ่งสำคัญคือเราต้องมองให้ออกว่า อะไรควรแก้ อะไรควรวาง" คุณศุภจีกล่าวสรุป "การจัดระเบียบความคิดและแยกแยะปัญหาอย่างเป็นระบบจะช่วยให้เราโฟกัสได้ตรงจุดและใช้พลังงาน สติปัญญา รวมถึงทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ"
นอกจากนี้ คุณศุภจียังแนะว่า ผู้นำควรแยกให้ออกระหว่าง ‘ปัญหา’ หรือ ‘อุปสรรค’ เพราะ ‘อุปสรรค’ เป็นสิ่งที่ทำให้เดินช้าลง เช่น ระบบที่ยุ่งยาก หรือขั้นตอนที่ไม่คล่องตัว ต้องใช้ความขยันและอดทน ขณะที่ ‘ปัญหา’ เปรียบเสมือนถนนที่ขาด ต้องเปลี่ยนวิธีคิด สร้างเส้นทางใหม่ หรือออกแบบกระบวนการใหม่ทั้งหมด
"หากมองอุปสรรคเป็นปัญหา องค์กรจะใช้ทรัพยากรผิดจุด" เธอย้ำ
เมื่อสามารถมองเห็นและจำแนกปัญหาได้อย่างชัดเจนแล้ว คุณศุภจี กล่าวว่าการแก้ปัญหาจะต้องดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน มีลำดับความสำคัญที่ชัดเจน โดยเริ่มจากการมองภาพรวมทั้งปัจจัยภายในและภายนอกองค์กร พร้อมตั้งหลักสำคัญคือเป้าหมายสูงสุดขององค์กร เช่น ในกรณีของดุสิตธานี เป้าหมายคือการยกระดับแบรนด์ไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก เป้าหมายที่ชัดเจนเช่นนี้จะช่วยให้ทุกระดับในองค์กรสามารถทำงานร่วมกันไปในทิศทางเดียวกัน และเลือกวิธีแก้ปัญหาที่ตอบโจทย์เป้าหมายได้อย่างตรงจุด
คุณศุภจีเน้นว่ากลยุทธ์ต้องไม่มองเพียงภายในองค์กรหรือเฉพาะคู่แข่งในประเทศ แต่ต้องเข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อนของตัวเอง รู้ว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ รวมถึงเข้าใจพันธมิตรและบริบทเศรษฐกิจ-ภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลก เพื่อกำหนดจังหวะที่เหมาะสม ว่าควรรุก ควรถอย หรือควรปรับตัว
การเดินในอุตสาหกรรมใด ๆ ไม่สามารถใช้ความเร็วคงที่ตลอดเวลา ต้องมีทั้งแผนระยะสั้นและระยะยาว ต้องเข้าใจอุตสาหกรรมข้างเคียงและตลาดต่างประเทศ เพื่อไม่ให้มองแคบเกินไป กลยุทธ์ที่ดีต้อง "คิดให้ใหญ่" เริ่มจากเป้าหมายเล็กที่ทำได้จริง เพื่อค่อย ๆ ขยายฐานและเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
นอกจากนี้ คุณศุภจียังมองว่าองค์กรต้องสร้างมาตรฐานที่ดี วางรากฐานองค์กรด้วยความยืดหยุ่นและการมีส่วนร่วม โดยคุณศุภจีมองว่าการบริหารองค์กรให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัย 5 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่
เมื่อองค์ประกอบเหล่านี้แข็งแรง จะก่อให้เกิด Team Commitment หรือความร่วมแรงร่วมใจของทีม ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องเริ่มต้นจากการ “Start with Purpose” หรือการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่ต้น
แม้ว่ากลยุทธ์ควรเริ่มจากการมองภาพรวมในวงกว้าง (Think Big) ที่ครอบคลุมทั้งโครงสร้างภายในองค์กร สถานการณ์ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมถึงบริบทในระดับโลก แต่คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ มองว่าการลงมือทำอย่างเป็นรูปธรรมควรเริ่มจากเป้าหมายย่อย (Act Small) เพื่อสร้าง "ความสำเร็จระยะสั้น" (Quick Wins) ที่จะช่วยสร้างกำลังใจให้กับทีม และค่อย ๆ ขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมายระยะยาวอย่างต่อเนื่อง
ในมุมมองของคุณศุภจี การตั้งเป้าหมายระยะยาวโดยไม่มีผลลัพธ์ที่จับต้องได้ในระยะสั้น อาจทำให้ทีมรู้สึกไม่ทันเหตุการณ์หรือขาดพลังในการเดินหน้า เธอจึงแนะนำให้ผู้นำออกแบบ Quick Wins เพื่อให้ทีมสามารถเห็นความก้าวหน้าของตนเองในระยะเวลาอันใกล้ ช่วยสร้างความมั่นใจและแรงขับเคลื่อนในการทำงาน
สำหรับองค์กรที่เผชิญปัญหาหลายด้านพร้อมกัน คุณศุภจีเน้นว่า ไม่ควรพยายามแก้ไขทุกเรื่องในเวลาเดียวกัน เพราะจะทำให้ทีมขาดโฟกัสและเสี่ยงต่อการจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพ วิธีที่เหมาะสมคือต้องแยกปัญหาออกเป็นส่วนย่อย จัดลำดับความสำคัญ แล้วแก้ไขแต่ละส่วนตามลำดับ เพื่อให้ทีมสามารถโฟกัสในส่วนที่รับผิดชอบได้เต็มที่
"อย่าพยายามแก้ทุกอย่างพร้อมกัน" คุณศุภจีย้ำ "ผู้นำควรแบ่งปัญหาออกเป็นส่วน ๆ ให้แต่ละทีมโฟกัสในงานของตนเอง แล้วค่อยนำทุกส่วนมาประกอบเป็นภาพใหญ่ในภายหลัง"
ดังนั้น หลักการของกลยุทธ์ที่ยั่งยืนตามแนวคิดของคุณศุภจี ควรประกอบด้วย 3 องค์ประกอบสำคัญ คือ
แนวทางนี้จะช่วยให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมีทิศทาง มั่นคง และยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง
คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ อธิบายว่า ดุสิตธานีเป็นองค์กรที่เดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด โดยยังคงยึดมั่นในเจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้ง ซึ่งตั้งเป้าหมายให้แบรนด์ดุสิตธานีเป็นที่ยอมรับในระดับโลก จุดเริ่มต้นขององค์กรคือโรงแรมริมถนนพระรามสี่ และตลอดระยะเวลากว่า 50-60 ปีที่ผ่านมา ดุสิตธานีได้เรียนรู้ที่จะ "ปล่อยวาง" สิ่งเดิม ๆ ที่ไม่ตอบโจทย์ เพื่อให้สามารถปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบันได้อย่างทันเวลา ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาเป้าหมายหลักขององค์กรไว้อย่างมั่นคง
หนึ่งในบทเรียนสำคัญขององค์กรเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตโควิด-19 ซึ่งแม้จะเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด แต่ดุสิตธานีกลับมองเห็นโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ภายในองค์กรให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยในช่วงเวลานั้น วิธีการแก้ปัญหาของดุสิตธานีไม่ใช่แค่การสั่งการจากผู้บริหาร แต่เป็นการ "ลงมือทำให้ดู" และทำร่วมกันในภาวะวิกฤติ กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้พนักงานเกิดความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกัน และองค์กรแข็งแรงมากยิ่งขึ้น
ในช่วงท้าย คุณศุภจีเน้นย้ำว่า ผู้นำที่สามารถดูแลใจตนเองและทีมงานได้อย่างแท้จริง ต้องยึดมั่นใน "คุณค่า" ที่องค์กรให้ความสำคัญ ไม่หวั่นไหวกับเสียงวิจารณ์หรือแรงกดดันภายนอก พร้อมทั้งต้องรู้ชัดว่า องค์กรกำลังทำอะไรและทำเพื่อใคร
สิ่งสำคัญคือต้องฝึกแยกแยะระหว่างข้อเท็จจริงกับเสียงรบกวน ต้องเข้าใจเหตุและผลอย่างเป็นระบบ ไม่ยึดติดกับผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว และไม่มุ่งโทษบุคคลอื่นเมื่อเกิดปัญหา
"ใช้ปัญหาเป็นเวทีพัฒนาปัญญา" คุณศุภจีกล่าว "ถ้าปัญหาใหม่และใหญ่มาก อย่ารับภาระเพียงลำพัง ต้องรู้จักแยกปัญหาออกเป็นส่วนย่อย แก้ไขทีละเปลาะ มองหาจุดแข็งของตัวเอง และเปิดโอกาสให้คนอื่นทำในสิ่งที่เขาถนัด"
เมื่อมุมมองของผู้นำเปลี่ยน ใจเปลี่ยน วิธีคิดเปลี่ยน โอกาสใหม่ ๆ จะค่อย ๆ ปรากฏขึ้น พร้อมกับความเชื่อมั่นที่เกิดจากความสำเร็จที่ค่อย ๆ สะสมอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน