ในทุกปีที่ผ่านมา “หน้าร้อน” มักเป็นฤดูกาลทองของธุรกิจเครื่องปรับอากาศในประเทศไทย เพราะเมื่ออุณหภูมิพุ่งสูงขึ้น ยอดขายแอร์ก็พุ่งตามเป็นเงาตามตัว ทว่าในปี 2568 นี้ สถานการณ์อาจไม่เป็นเช่นนั้น
ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) สะท้อนว่า ยอดขายแอร์ในปี 68 นี้มีแนวโน้มจะลดลงจากปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ ราว 12.5% จากหลายปัจจัย ทั้ง “อากาศร้อนจัดน้อยลง” และ “ระยะเวลาความร้อนที่สั้นลง” โดยประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนในปีนี้ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 และเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการตั้งแต่ 18 พฤษภาคม ซึ่งเร็วกว่าปีที่แล้ว อุณหภูมิเฉลี่ยปี 67 อยู่ที่ 31 องศา แต่ปีนี้ลดลงเหลือ 30.2 องศาเซลเซียส
ย้อนดูปี 2567 ซึ่งถือเป็นปีที่ร้อนจัดเป็นประวัติการณ์ อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วประเทศสูงเกิน 30 องศาเซลเซียสต่อเนื่องในหลายเดือน ทำให้ยอดขายเครื่องปรับอากาศพุ่งทะลุถึง 2.6 ล้านเครื่อง สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะในฤดูร้อนที่ยอดขายแตะระดับ 9.5 แสนเครื่อง
อย่างไรก็ตาม ปี 2568 นี้ อุณหภูมิในช่วงต้นปีไม่ได้พุ่งสูงเช่นเดิม และช่วงเวลาที่ร้อนสุดกลับสั้นลง ส่งผลให้ยอดขายในฤดูร้อนชะลอตัวตาม
แม้ในปี 2568 จะมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค เช่น การเลือกซื้อแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ หรือเครื่องฟอกอากาศในตัว รวมถึงการเติบโตของบ้านใหม่ที่ต้องติดตั้งแอร์ แต่ปัจจัยเหล่านี้ยังไม่สามารถชดเชยผลกระทบจากการที่อากาศร้อนสั้นลงได้
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือ ฐานยอดขายที่สูงมากในปีก่อน ซึ่งส่งผลให้ปีนี้เป็นช่วง “พักฐาน” ของตลาดแอร์ ประกอบกับข้อมูลจากศูนย์วิจัยพบว่า ปัจจุบันเพียง 38.5% ของครัวเรือนไทยมีเครื่องปรับอากาศใช้ ซึ่งสะท้อนถึงระดับการเข้าถึงที่ยังไม่ทั่วถึงและอาจเริ่มชะลอตัวในกลุ่มผู้ซื้อรายใหม่
เมื่อทุกอย่างรวมกัน ทั้งสภาพอากาศที่แปรปรวน การเปลี่ยนฤดูที่เร็วขึ้น อุณหภูมิที่ไม่พุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง และฐานยอดขายปีก่อนที่สูงผิดปกติ ล้วนเป็นเหตุผลที่ทำให้ปี 2568 นี้ “อากาศไม่ร้อน แต่ยอดขายแอร์อาจสะดุด” ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามประเทศไทยถือได้ว่า เป็นประเทศที่มีการส่งออกเครื่องปรับอากาศติดอันดับ2ของโลก รองจากจีน และเครื่องปรับอากาศถืเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไทยส่งออกไปมากที่สุดในบรรดา เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมด
.
ที่มาข้อมูล : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย