หากพูดถึงร้านสุกี้ชื่อดัง แต่ก่อนเราคงนึกถึง MK สุกี้ เจ้าตลาดแห่งเดียวของเมืองไทย แต่ตอนนี้เจ้าตลาดแห่งวงการสุกี้อย่าง MK อาจไม่ใช่เบอร์หนึ่งอีกต่อไป ? หลังเจอผู้เล่นหน้าใหม่อย่างสุกี้ตี๋น้อย หรือ ลัคกี้สุกี้ที่ขอมาท้าชิงตลาดหม้อเดือดนี้
หลังจากผ่านมากว่า 7 ปี สุกี้ตี๋น้อย ได้เปิดสาขามากกว่า 80 สาขา ขายราคาเดียวบุฟเฟ่ต์อยู่ที่ 219 บาท (ไม่รวมค่าเครื่องดื่มรีฟิลและภาษีมูลค่าเพิ่ม) คงคอนเซปต์ขายตั้งแต่เที่ยงวันยันเช้า ส่งผลให้ตีตลาดครองหนึ่งในใจของผู้บริโภคได้สำเร็จ จนล่าสุดปิดยอดขายกวาดกำไรใน Q1/68 ที่ 271 ล้านบาท แซงหน้าเจ้าตลาดเก่าอย่าง MK สุกี้เป็นที่เรียบร้อย ด้วยกำไรอยู่ที่ 234 ล้านบาท
แม้ว่า MK และสุกี้ตี๋น้อย มักจะโดนเปรียบเทียบกันอยู่เสมอว่าใครคือเจ้าตลาดตัวจริง ? แต่หากเราเจาะลึกมาที่ราคา แฃะคุณภาพ ก็อาจกล่าวได้ว่า 2 ร้านนี้เจาะกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน
อย่างสุกี้ตี๋น้อย คือเจาะตลาดแมส สายกินที่กินคุ้ม ราคาสบายกระเป๋า ส่วน MK เจาะตลาดแมส พรีเมียม ที่เน้นคุณภาพของสินค้า
และเนื่องจากสุกี้ตี๋น้อยเจาะตลาดแมส ส่งผลให้ที่ผ่านมาสุกี้ตี๋น้อยได้รุกขยายสาขาตามแหล่งชุมชนและหัวเมืองใหญ่ เช่นในQ1/68 ที่ผ่านมา สุกี้ตี๋น้อยได้เปิดสาขาเพิ่มขึ้นจำนวน 4 สาขา โดยสาขาที่เปิดเพิ่มเป็นสาขาที่ขยายออกไปต่างจังหวัด ได้แก่พิษณุโลก บุรีรัมย์ หนองคาย และนครสวรรค์ เนื่องจากเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการตลอดเพราะเป็นแหล่งชุมชน
เช่นเดียวกันการแตกไลน์ร้านอาหาร อย่าง
MK สุกี้ เจ้าตลาดครอง 1 มาหลายยุคหลายสมัย กำลังสั่นคลอนบัลลังก์หลังภาวะเศรษฐกิจซบเซา ผู้บริโภค ‘ไม่พร้อมจ่าย’ สุกี้ระดับพรีเมียม
ล่าสุด บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MK GROUP ได้เปิดเผยผลประกอบการ Q1/68 พบว่ามีรายได้รวมอยู่ที่ 3,626 ล้านบาท กำไรสุทธิ 234 ล้านบาท ลดลง 32.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ความน่าสนใจคือ จากแต่ก่อนไม่ว่ามีดราม่าแค่ไหนเป็นที่รู้กันว่า MK ปักหมุดแบรนด์ในฐานะแบรนด์พรีเมียม แมสมาตลอด ผู้บริโภคไม่ได้รู้สึกคุ้มค่ากับราคา แต่รู้สึกคุ้มค่ากับคุณภาพของสินค้า
แต่หลังจากเราอ่านแผนรับมือโมเดลใหม่ๆของ MK Group กลับได้ยินแต่กลยุทธ์ ‘คุ้มค่า’ ‘คุ้มราคา’ หรือ‘ราคาเข้าถึงง่าย’ สะท้อนให้เห็นว่าสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง กำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ปัจจุบันผู้บริโภคสามารถเลือกร้านอาหารที่ตรงใจ ตรงราคาได้มากกว่าเดิม
MK GROUP มีร้านอาหารในเครือทั้งหมด 13 แบรนด์ รวม 723 สาขา โดยในประเทศจำนวน 688 สาขา คือ MK Restaurants, MK Live, MK Gold, YAYOI, แหลมเจริญ ซีฟู้ด, HIKINIKU TO COME, HAKATA Ramen, MIYAZAKI, เลอ สยาม, ณ สยาม, BIZZY BOX (Grab&go), LE PETIT, Multi Brand
และสาขาแฟรนไชส์ต่างประเทศอีก 35 สาขา คือ MK Restaurants สาขาประเทศญี่ปุ่น เวียดนาม ลาว, สาขาแฟรนไชส์ แหลมเจริญ ซีฟู้ด สาขาประเทศมาเลเซีย, MIYAZAKI สาขาประเทศลาว
โดยมีแผนจะขยายสาขาในประเทศ เพิ่มอีก 15 สาขา แบ่งเป็น MK Restaurants 5 สาขา, Yayoi 3 สาขา, แหลมเจริญ 5 สาขา และ HIKINIKU TO COME 2 สาขา ซึ่งในส่วนของการขยายแฟรนไชส์ต่างประเทศคือ แหลมเจริญ มีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 2 สาขาที่ประเทศมาเลเซีย
นอกจากนี้ยังได้เปิดแบรนด์น้องใหม่ล่าสุดคือ HIKINIKU TO COME (ฮิคินิคุ โตะ โคเมะ) ร้านแฮมเบิร์กเจ้าดังจากประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันก็ยังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก จนสามารถสร้างยอดขายโตในเวลาไม่นาน คาดมีโอกาสเติบโตและวางแผนเตรียมขยายสาขาต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค