วันนี้เรามีวิธีรับมือที่เป็นประโยชน์ เพื่อไม่ให้ฝันร้ายเกินไป จนนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพในอนาคต ให้ทุกคนได้นอนหลับพักผ่อนอย่างสบาย เพื่อเริ่มวันใหม่อย่างสดใสและมีพลัง
ฝันร้าย (Nightmare) คือความฝันที่ไม่พึงประสงค์ ก่อให้เกิดการตอบสนองทางอารมณ์เชิงลบ เช่น ความกลัว ความวิตกกังวล หรือความโศกเศร้า โดยทั่วไปฝันร้ายมักเกิดขึ้นในช่วงการนอนหลับระยะ REM (rapid eye movement) ซึ่งเป็นช่วงที่สมองทำงานและเกิดความฝันเป็นเรื่องเป็นราว ผู้ที่ฝันร้ายอาจสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความกลัว และมักจดจำรายละเอียดของความฝันได้ ส่งผลให้หลับต่อได้ยากขึ้น
ในทางพยาธิสภาพ เราใช้เวลานอนหลับในแต่ละคืนมากกว่า 2 ชั่วโมง ฝันร้ายที่เกิดขึ้นในระยะ REM มักเป็นช่วงที่กล้ามเนื้อส่วนใหญ่ยกเว้นหัวใจ กระบังลม กล้ามเนื้อตา และกล้ามเนื้อเรียบหยุดทำงาน เป็นช่วงที่ฝันมีความซับซ้อนและยาว โดยมักเกิดในช่วงหลังของการนอนหลับหรือช่วงเช้ามืด เมื่อตื่นขึ้นมา ร่างกายอาจรู้สึกไม่สบาย มีความกลัวอย่างรุนแรง หรือวิตกกังวล และความถี่ของฝันร้ายจะเพิ่มขึ้นเมื่อบุคคลมีความผิดปกติในการใช้ชีวิตหรือการทำงาน
สมาคมจิตแพทย์อเมริกาได้ให้คำจำกัดความและวินิจฉัย "ฝันร้ายผิดปกติ (Nightmare disorder)" หรือ "ฝันร้ายซ้ำ ๆ" ซึ่งมักเริ่มพบในวัยเด็กตั้งแต่ 10 ขวบขึ้นไป โดยเฉพาะในเด็กหญิงมากกว่าเด็กชาย ถือเป็นภาวะปกติที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันและไม่ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางกาย จิตใจ หรือสังคมมากนัก
อย่างไรก็ตาม หากฝันร้ายเกิดขึ้นบ่อยครั้งในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น อาจเชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพจิต เช่น ภาวะวิตกกังวล ความเครียด หรือการได้รับบาดเจ็บทางจิตใจอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพจิตและจิตเวชในอนาคตได้
การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและมีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพกายและใจ มาดูเคล็ดลับง่าย ๆ ที่ช่วยให้คุณนอนหลับฝันดีได้ทุกคืน
1. บริโภคคาเฟอีนและนิโคติน สารกระตุ้นเหล่านี้ส่งผลต่อระบบประสาทโดยตรง ทำให้หลับยากและหลับไม่สนิท ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา รวมถึงช็อกโกแลตและยาบางชนิด
2. ดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน แม้แอลกอฮอล์จะทำให้รู้สึกง่วง แต่การดื่มมากเกินไปจะรบกวนการนอน ทำให้หลับๆ ตื่นๆ ฝันร้าย และกระสับกระส่าย
3. ไม่ควรกินมื้อหนักก่อนนอน หลีกเลี่ยงอาหารที่ย่อยยากหรือมื้อหนักอย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนนอน เพื่อไม่ให้ร่างกายต้องทำงานหนักในการย่อยอาหาร ซึ่งอาจทำให้ท้องอืดและนอนไม่สนิท
4. ออกกำลังกายหนักก่อนนอน การออกกำลังกายอย่างหนักก่อนนอนจะทำให้ร่างกายตื่นตัวและหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นประสาท ส่งผลให้นอนหลับไม่สนิทและอ่อนเพลียในวันรุ่งขึ้น
5. ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แสงสีฟ้าจากโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ มีผลต่อคลื่นสมองโดยตรง ทำให้หลับยากและคุณภาพการนอนลดลง ควรหลีกเลี่ยงการใช้งานก่อนนอน
1. กำหนดเวลานอนให้สม่ำเสมอ เข้านอนและตื่นนอนให้ตรงเวลาทุกวัน แม้ในวันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อให้นาฬิกาชีวิตทำงานอย่างเป็นระบบ ร่างกายจะคุ้นชินและตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น
2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายเบา ๆ 20-30 นาทีต่อวัน ช่วยให้หลับง่ายขึ้น แต่ควรทำอย่างน้อย 3 ชั่วโมงก่อนนอน เพื่อไม่ให้ร่างกายตื่นตัวมากเกินไป
3. สร้างบรรยากาศผ่อนคลายก่อนนอน การอาบน้ำอุ่น อ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย จะช่วยให้สมองสงบและพร้อมสำหรับการนอน
4. ดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆ นมอุ่น หรือน้ำอุ่น ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย ควรดื่มในปริมาณพอเหมาะเพื่อไม่ให้ต้องลุกเข้าห้องน้ำกลางดึก
5. เข้าห้องน้ำก่อนนอน การจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยก่อนเข้านอน จะช่วยลดการตื่นกลางดึก ทำให้การนอนหลับมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยให้คุณนอนหลับได้ดีขึ้น ลดโอกาสการเกิดฝันร้าย ตื่นมาด้วยความสดชื่น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน
ที่มา : กรมสุขภาพจิต
Advertisement