เมื่อพูดถึงการ “สึกพระ” หรือการให้พระภิกษุลาสิกขาบท หลายคนอาจนึกถึงเฉพาะกรณี “อาบัติปาราชิก” ซึ่งเป็นอาบัติร้ายแรงที่ทำให้พระพ้นจากสมณเพศโดยอัตโนมัติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การสึกพระไม่ได้จำกัดอยู่แค่ปาราชิกเท่านั้น
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2561) ได้ระบุเงื่อนไขอื่นๆ ไว้อย่างชัดเจนว่า พระภิกษุสามารถถูกสั่งให้ลาสิกขาบทได้ในหลายกรณี
มาตรา 26 : คำวินิจฉัยให้สึก
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2561 กำหนดไว้ในมาตรา 26 ว่า “พระภิกษุรูปใดล่วงละเมิดพระธรรมวินัย และได้มีคำวินิจฉัยถึงที่สุด ให้ได้รับนิคหกรรม (การลงโทษผู้กระทำผิดพระวินัย) ให้สึก ต้องสึกภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่เวลาที่ได้ทราบคำวินิจฉัยนั้น”
คำว่า “นิคหกรรม” ในที่นี้หมายถึง มาตรการทางวินัยที่คณะสงฆ์ใช้อำนาจในการลงโทษ โดยขั้นสูงสุดคือ “ให้ออกจากความเป็นภิกษุ” ซึ่งเมื่อถึงขั้นนั้นต้องสึกภายใน 24 ชั่วโมงหลังรับทราบคำตัดสิน ไม่สามารถปฏิเสธหรือเลื่อนเวลาได้
มาตรา 27 : กรณีผิดวินัยอื่นๆ
มาตรา 27 เมื่อพระภิกษุรูปใดต้องด้วยกรณีข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
1.ต้องคำวินิจฉัยตามมาตรา 25 ให้รับนิคหกรรมไม่ถึงให้สึก แต่ไม่ยอมรับนิคหกรรมนั้น
2.ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ
3.ไม่สังกัดอยู่ในวัดใดวัดหนึ่ง
4.ไม่มีวัดเป็นที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
ให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎมหาเถรสมาคม พระภิกษุผู้ต้องคำวินิจฉัยให้สละสมณเพศตามวรรคสอง ต้องสึกภายใน 3 วัน นับแต่วันที่ได้รับทราบคำวินิจฉัยนั้น
มาตรา 28 : เป็นบุคคลล้มละลาย
มาตรา 28 ระบุว่า “พระภิกษุรูปใดต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้เป็นบุคคลล้มละลาย ต้องสึกภายในสามวันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด”
หากศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้พระภิกษุรูปใดเป็นบุคคลล้มละลาย พระภิกษุรูปนั้นจะต้องลาสิกขาบทภายใน 3 วัน หลังจากที่คดีสิ้นสุด
มาตรา 29 : ถูกจับในคดีอาญา
“พระภิกษุรูปใดถูกจับโดยต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราว และเจ้าอาวาสแห่งวัดที่พระภิกษุรูปนั้นสังกัดไม่รับมอบตัวไว้ควบคุม หรือพนักงานสอบสวนไม่เห็นสมควรให้เจ้าอาวาสรับตัวไปควบคุมหรือพระภิกษุรูปนั้นมิได้สังกัดในวัดใดวัดหนึ่ง ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจจัดดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้”
มาตรา 29 ในกรณีที่พระภิกษุถูกจับกุมในคดีอาญา หากไม่ได้รับการประกันตัว และเจ้าอาวาสไม่รับตัวไปควบคุม หรือไม่มีวัดสังกัด พนักงานสอบสวนมีอำนาจดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นลาสิกขาบทได้ทันที
มาตรา 30 : เมื่อศาลสั่งจำคุก
“เมื่อจะต้องจำคุก กักขัง หรือขังพระภิกษุรูปใดตามคำพิพากษา หรือคำสั่งของศาล ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำพิพากษา หรือคำสั่งของศาล มีอำนาจดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้ และให้รายงานให้ศาลทราบถึงการสละสมณเพศนั้น”
มาตรา 30 เป็นกรณีที่เกิดขึ้นบ่อยในทางปฏิบัติ หากพระภิกษุต้องโทษตามกฎหมายอาญา การอยู่ในสมณเพศจะขัดต่อระบบควบคุมของเรือนจำ จึงต้องสึกก่อนรับโทษเสมอ
แม้คำว่า “ปาราชิก” จะเป็นที่รู้จักมากที่สุดเมื่อพูดถึงการ “สึกพระ” แต่ในความเป็นจริงแล้ว พระภิกษุสามารถถูกสึกได้ด้วยเหตุผลอื่นๆ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ทั้งในด้านพระธรรมวินัยและสถานะทางกฎหมาย
ที่มา : สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม (พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และที่แก้ไขเพิ่มเติม)
Advertisement