
วันที่ 28 ต.ค. 68 ทราย อินทิรา เจริญปุระ นักแสดงชื่อดังของไทย โพสต์เรื่องราวความโก๊ะของตัวเองที่อยู่ในใจเสมอ หลังที่ได้รับเลือกให้เล่นภาพยนตร์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และมีโอกาสเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ลงในเฟซบุ๊ก “ITReview” ระบุว่า
“คิดทบทวนอยู่หลายรอบว่าจะเล่าเรื่องนี้ดีมั้ย แต่อยากบันทึกไว้ว่าเป็นครั้งหนึ่งในชีวิต เหมือนครั้งได้เข้าเฝ้าล้นเกล้ารัชกาลที่9 และท่านมีรับสั่งด้วย ก็ได้เล่า และบันทึกผ่านต้นฉบับเอาไว้ว่าเป็นเหตุการณ์น่าจดจำครั้งหนึ่งในชีวิต”
“และการได้เข้าเฝ้าพระพันปี ในช่วงปี 2546-2547 ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องราว ที่อยากจะบันทึกไว้ จริงๆ ไม่ได้เป็นความลับอะไร เพราะคนใกล้ชิดเราก็รู้เหตุการณ์นี้เหมือนกัน ขออนุญาตใช้ภาษาธรรมดาในการถ่ายทอด ผิดพลาดตรงไหนต้องขออภัยด้วยนะคะ”
“ตอนที่ได้รับเลือกให้เล่น ‘ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช’ ท่านมุ้ยก็บอกเลยตั้งแต่แรกว่าต้องไปเข้าเฝ้านะ สมเด็จพระราชินี (เรียกตามพระอิสสริยยศในตอนนั้น) ท่านสนใจภาพยนตร์เรื่องนี้ อยากทราบความคืบหน้า เราก็รับทราบตามนั้น แต่ยังไม่ได้เตรียมตัวถ่ายทำอะไร”
“จนท่านมุ้ยตามให้ไปเข้าเฝ้าที่วังไกลกังวล กำชับอย่างดีว่าให้แต่งตัวดีๆ ห้ามมอมแมมแบบปกติ ใส่กระโปรง ใส่รองเท้ามีส้น ใส่สูทด้วยนะ สมเด็จฯท่านจะเลี้ยงมื้อเย็น นี่ก็นั่งรถตู้ไปพร้อมท่าน ไปถึงค่ำๆ ก็ไปนั่งโต๊ะ จำไม่ค่อยได้แล้วว่ามีนักแสดงคนไหนไปบ้าง น่าจะมีคุณแอฟ กับพี่ปีเตอร์ด้วย ตอนนั้นพี่เบิร์ดกับพี่ต๊อดท่านยังไม่ได้เลือกว่าจะให้เล่นบทไหน เราก็เลือกเก้าอี้นั่งไปงงๆ เพราะเขาไม่ได้กำหนดที่”
“ปรากฏว่าพอสมเด็จท่านเสด็จลงมานั่งโต๊ะ ก็อยู่ตรงข้ามที่นั่งเราพอดี ทั้งเกร็งทั้งเงอะงะ ไม่กล้าเงยเท่าไหร่ แต่อาหารอร่อยมาก จำได้ว่ามีเมนูก๋วยเตี๋ยวแก้มหมูตุ๋นที่อยากกินอีก แต่ไม่กล้าขอ”
“โต๊ะที่สมเด็จฯท่านนั่งก็จะมีผู้ใหญ่ๆ นั่งกัน ท่านมุ้ย หม่อมกมลา ท่านผู้ว่าจังหวัด ทหาร/ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ฯลฯ เป็นโต๊ะดินเนอร์ยาวๆ มีดนตรีบรรเลงเป็นวงเล่นสด เล่นเพลงสตริงปัจจุบันสลับกับเพลงเก่า”
“ท่านมุ้ยให้คนมาบอกว่าให้เราไปร้องเพลง เราบอกเราไม่ได้เตรียมตัวเลย ท่านบอกร้องไปเถอะ ไม่เป็นไร สมเด็จท่านอยากเห็น ก็เลยร้องเพลง ‘วอน’ ของพีชแบนด์ เพราะวงเล่นให้ได้ยินช่วงต้นงาน เลยร้องไปก่อน ไม่อยากดื้อกับท่าน ทั้งที่มั่นใจว่าเสียงสั่นมากแน่ๆ แต่ก็ร้องได้จนจบ”
“จนดึกมากๆแบบตีสามตีสี่ ไฟในห้องก็เริ่มสลัวๆ มีคนมาจัดโต๊ะใหม่ ให้ตรงกลางกว้างขี้น เขาบอกเดี๋ยวจะเต้นรำกัน เราซึ่งง่วงด้วย อิ่มด้วยก็นั่งดู มีผู้ใหญ่มาเต้นรำแบบสโลวเป็นคู่ๆ นั่งพักกันบ้างเวลาเพลงเร็ว สลับคู่ไปโค้งกันบ้าง น่ารักดี ก็นั่งดูเพลินๆ จนเห็นท่านมุ้ยที่เต้นรำกับหม่อมอยู่ พยักเพยิดมาทางเรา นี่ก็งงๆ เอามือชี้ตัวเองว่าเรียกเราเหรอ ท่านพยักหน้าว่าใช่ แล้วก็บุ้ยๆไปทางโต๊ะใหญ่ แล้วก็ชี้ให้ดูที่ท่านเต้นรำกับหม่อมอยู่”
“อ๋อ จะให้เราลุกไปโค้งขอเต้น แต่ขอใครหว่า คือห้องก็มืดมาก แล้วเราไม่รู้จักใครเลยที่โต๊ะใหญ่ เห็นมีสมเด็จกับอีก 2-3 ท่านนั่งอยู่ นี่ก็ไม่มั่นใจว่าผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ชายอาจจะมากับภรรยา จะไปโค้งก็กลัวดูไม่ดี เราเลยไปโค้งขอสมเด็จฯเต้น ท่านก็หัวเราะแล้วเรียกองครักษ์มาประคองขึ้น แล้วเกาะแขนเราไปกลางฟลอร์ คนก็แหวกๆ ทางให้ เราเองจำไม่ได้แล้วว่าเพลงอะไร แต่น่าจะเป็นเพลงฝรั่งแบบไม่ช้ามาก นี่ก็เต้นแบบก้าวชิด ก้าวชิดไปเรื่อยๆ หน้าสมเด็จฯท่าน เราก็ไม่ค่อยกล้ามอง ดูเพดานสลับก้มดูพื้นอย่างเดียวเพราะกล้วมืดๆไปเหยียบเท้าท่าน”
“ก็เต้นไปจนจบ สมเด็จท่านก็ขอบใจแล้วองครักษ์ก็พาท่านไปที่โต๊ะ เรากำลังจะเดินกลับก็โดนท่านมุ้ยคว้าแขนไว้แล้วกระซิบ ‘ไอ้ทราย กูให้มึงไปโค้งท่านผู้ว่า มึงผ่าไปโค้งสมเด็จเต้น!’ โอโหหหหห จากที่อ๊องๆอยู่คือตื่นเลย ช๊อตแรงมาก ก็เราไม่รู้นี่ จำได้ว่าบอกท่านว่า ก็ไม่บอกดีๆล่ะ โอ้ย เอาหน้าชี้ๆ หนูก็ไม่รู้อ่า จะโดนดุมั้ย ท่านบอกกูก็ไม่รู้ กูไม่เคยเห็นเด็กผู้หญิงที่ไหนไปขอเต้นกับสมเด็จฯเหมือนกัน”
“จนเช้าจบงาน สมเด็จท่านฯจะเสด็จขึ้น ก็ไปยืนรอส่งเสด็จ ก้มหน้าเลยคราวนี้จนท่านเดินผ่านก็ถอนสายบัว แล้วท่านก็หยุดรับสั่งด้วย ‘คราวหน้ามาเต้นรำด้วยกันอีกนะจ๊ะ’ ทุกวันนี้ท่านมุ้ยกับหม่อมยังเอามาขำเราอยู่ ว่าเข้าเฝ้างานไหน งานนั้นต้องมีเหตุทุกที แต่เอาเข้าจริงเราก็ไม่โดนดุ และเรื่องนี้ก็อยู่ในใจเสมอมา”
Advertisement