
พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจ เปิดเผย ถึงกรณีสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังลงนามข้อตกลงร่วมกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ที่ประเทศมาเลเซีย
พลเอกรังสี ระบุว่า ส่วนตัวมองว่า สหรัฐอเมริกาได้ผลประโยชน์ไปเต็มๆ จากกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เข้ามาเป็นตัวกลางตกลงสันติภาพระหว่างไทยกับกัมพูชา ทั้งเรื่องได้ภาพลักษณ์ที่ดีจากชาติในอาเซียน และได้ข้อตกลงทางการค้ากับประเทศไทย คือเรื่อง “แร่แรร์เอิร์ธ”
โดยในข้อตกลงเจรจาสันติภาพพบว่าทางฝั่งประเทศไทย ห้ามใช้กำลังทหาร ให้ใช้การเจรจาในการตกลง แต่ที่ผ่านมาทั้งการประชุม JBC , RBC ,GBC ไม่มีผล ไม่สามารถตกลงกันได้ มองว่าการทำข้อตกลงสันติภาพ จะเพิ่มน้ำหนักให้กับ MOU 43 - 44 หลังจากนี้ต้องจับตาดูว่ากัมพูชาจะถอนหนักอาวุธจริงหรือไม่ ตามแนวชายแดน แม้จะมีภาพปรากฏที่กัมพูชาถอดอาวุธแล้ว แต่ไทยยังไว้ใจไม่ได้ต้องมีการเตรียมความพร้อมอยู่ตลอดเวลา เพราะกัมพูชาไว้ใจไม่ได้ ทั้งเรื่องการร่วมกันเก็บกู้ทุนระเบิดและปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์
โดยมองว่า หากฝั่งกัมพูชาละเมิด MOU รวมถึงละเมิดข้อตกลงสันติภาพ ทางประเทศไทยควร ยกเลิกข้อตกลงทั้งหมด หลังจากนี้จะต้องจับตาดูว่าทางฝั่งกัมพูชา จะทำตามข้อตกลงจริงหรือไม่
ส่วนกรณีที่สหรัฐมีการยื่นข้อเสนอแลกเปลี่ยนด้วยการลงนามข้อตกลงการค้าและแร่หายากกับประเทศไทย ส่วนตัวมองว่าประเทศไทยเสียเปรียบ และอาจจะโดนสหรัฐเข้ามาสัมปทาน แต่ควรจะเป็นการลงทุนร่วมระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้การที่ไทยร่วมมือกับสหรัฐยังเหมือนเป็นการแสดงออก ลักษณเหมือนเลือกข้าง โดยเลือกไปจับมือกับฝั่งสหรัฐอเมริกา ทำให้ประเทศจีน อาจเกิดความไม่พอใจ เพราะทั้ง 2 ประเทศถือเป็นมหาอำนาจคู่แข่งกันโดยตรง
นอกจากนี้ยังมองว่านายอันวาร์ บิน อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อาจมีแผนอยู่ลึกๆ ถึงเสนอตัวเป็นตัวกลางในการเจรจาสันติภาพของทั้งไทยและกัมพูชา เพราะมีการปิดเรื่องการ ทำข้อตกลงการค้าเรื่องแร่หายาก แต่เอาเรื่องสันติภาพมาบังหน้า
ส่วนกรณีเรื่องการเปิด-ปิดด่าน ตนเองยังคง ยืนยันคำเดิมว่า หากใครมีความเห็นด้วยหรืออนุมัติให้มีการเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา บุคคลนั้นจะไม่มีแผ่นดินอยู่
Advertisement