
วันนี้ (24 ธันวาคม 2568) ที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือแลกเปลี่ยนแนวทางการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทยร่วมกับพรรคเพื่อไทย ว่า ส.อ.ท.ได้เสนอแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย โดยภาคอุตสาหกรรมได้นำเสนอความท้าทายสำคัญจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ซึ่งหลายอุตสาหกรรมพื้นฐานของไทยส่วนใหญ่ยังเป็นอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่ถูก Disrupt และเป็นอุตสาหกรรมแบบ OEM หรือรับจ้างการผลิตที่อยู่กับไทยมานาน แต่มีอัตรากำไรต่ำมาก ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาแข่งขันไม่ได้ และทำให้ GDP ของไทยไม่เติบโต
นอกจากนี้ ได้มีการหารือถึงความจำเป็นในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยไปสู่อุตสาหกรรมที่สามารถแข่งขันได้ หรือ “อุตสาหกรรมแห่งอนาคต” ควบคู่กับการหามาตรการช่วยเหลือกลุ่ม SME ที่เป็นอุตสาหกรรมปัจจุบันให้สามารถไปต่อได้ ท่ามกลางปัญหาหลากหลาย ทั้งด้านเทคโนโลยี ภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามการค้า ซึ่งส่งผลให้สินค้าที่เคยไหลเวียนตามปกติทะลักเข้ามาในภูมิภาคมากขึ้น และไทยได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะทำให้สินค้าไทยที่ขายไม่ได้ ส่งออกได้น้อยลง จึงมีแผนที่จะนำเสนอให้สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นสำคัญในการกำหนดนโยบายในอนาคต
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยต้องจับตาตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ โดยเฉพาะ GDP ไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งยังต้องลุ้นว่าจะออกมาในระดับใด เนื่องจากได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในภาคใต้ รวมถึงการประทะกันบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาเป็นรอบที่สอง
ขณะเดียวกัน IMF คาดการณ์ว่า ในปี 69 เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ และเศรษฐกิจโลกก็มีแนวโน้มลดลง โดยคาดว่าในปี 2569 GDP ไทยจะเติบโตเพียง 1.6% ซึ่งสอดคล้องกับการประเมินของ กกร. และถือเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำในรอบ 30 ปี
แม้ว่าการส่งออกของไทยในปีนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ถือเป็นความผิดปกติ เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ขณะที่ ดัชนี PMI ภาคการผลิต กลับไม่เพิ่มขึ้น สะท้อนว่าภาคการผลิตยังไม่ฟื้นตัวอย่างแท้จริง
โดยประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ได้แก่ ปัญหาสงครามการค้า การป้องกันการสวมสิทธิ์สินค้า และทรานส์ชิปเมนต์ เพราะไม่สามารถปล่อยให้ภาคอุตสาหกรรมอ่อนแอลงไปกว่านี้ได้ ซึ่งปัจจุบันได้รับผลกระทบแล้ว 24 กลุ่มอุตสาหกรรม จากทั้งหมด 37 กลุ่ม และหากปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อ อาจขยายผลกระทบไปถึง 30 กลุ่มอุตสาหกรรม ส่งผลให้สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจที่ผ่านมา ไตรมาส 3 ของปีนี้ GDP ไทยขยายตัวเพียง 1.2% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.7% ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ในไตรมาสเดียวกันมีอัตราการเติบโตสูงถึง 8.2%
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากกว่าปกติ อยู่ที่ระดับประมาณ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหากปล่อยให้แข็งค่าต่อเนื่อง มีโอกาสเห็นระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์แน่นอน และจะยิ่งซ้ำเติมความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทย
นายเกรียงไกร ย้ำว่า เรื่องสำคัญที่สุดในขณะนี้ คือ “ปัญหาปากท้อง และเศรษฐกิจ” ซึ่งไม่สามารถรอได้อีกต่อไป โดยผลกระทบทางเศรษฐกิจเริ่มชัดเจน ทั้งหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง NPL ที่เพิ่มขึ้น กำลังซื้อที่ไม่ฟื้นตัว และการที่สินค้าต่างประเทศทะลักเข้ามาในตลาดไทย ล้วนเป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามา จำเป็นต้องเร่งดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
Advertisement